Saturday 31 December 2011

การภาวนาให้เกิดบุญ (12)

การภาวนาก่อให้เกิดบุญ
 
 ภาวนา เป็นหลักธรรมชั้นสูงในพระพุทธศาสนา หมายถึง การอบรมจิต หรือ การพัฒนาจิต โดยทำจิตให้มีค่าสูง ได้แก่ ทำจิตให้สะอาด สงบ สว่าง
ภาวนา แปลว่า การทำให้มีขึ้น ทำให้เกิดขึ้น ได้แก่ การฝึกอบรมจิตใจให้เกิดความสงบ ขั้นสมาธิและปัญญา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงข้อปฏิบัติไว้ 2 ประการ คือ สมถภาวนา และ วิปัสสนาภาวนา
สมถภาวนา เป็นหลักธรรมขั้นสมาธิ คือ การฝึกอบรมจิตใจให้เกิดความสงบ จนตั้งมั่นเป็นสมาธิ อารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งการเจริญ สมถภาวนา
วิปัสสนาภาวนา เป็นหลักธรรมขั้นปัญญา คือ การฝึกอบรมเจริญปัญญา ให้เกิดความรู้แจ้งใน สภาพธรรมที่เป็นจริงตามสภาพของไตรลักษณ์ คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
สำหรับการเจริญภาวนาในขั้นบุญกิริยาวัตถุนี้ โดยทั่วไปท่านหมายเอาเพียง มหากุศลธรรมดา แต่หากใครได้ศึกษาให้มีความเข้าใจ ก่อนลงมือปฏิบัติ แล้วพากเพียรปฏิบัติ ให้ถูกต้องตามแนวทางที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ ก็สามารถเป็นบันไดให้ก้าวไปถึงฌาน หรือมรรคผลได้
sil5.net  การเจริญภาวนาหรือการปฏิบัติกรรมฐานนี้ได้บุญกุศลมากกว่าการให้ทาน และการรักษาศีล โดยทานมีผลน้อยกว่าศีล ศีลมีผลน้อยกว่าสมาธิ สมาธิมีผลน้อยกว่าปัญญา ปัญญามีผลมากที่สุด เพราะสามารถนำไปสู่การตัดกิเลส เข้าสู่พระนิพพาน เข้าถึงความสิ้นทุกข์ได้โดยสิ้นเชิง

ดังนั้นในฐานะที่เราเป็นพุทธมามกะ นอกจากการทำบุญ รักษาศีลแล้ว
ควรหาโอกาสปฎิบัติภาวนาด้วย

Thursday 29 December 2011

การแสดงธรรมก่อเกิดบุญ 12


        "อย่าเข้าใจผิดคิดว่าการแสดงธรรมเป็นเรื่องของพระสงฆ์เท่านั้น....แม้การบริจาคทุนทรัพย์ในการพิมพ์หนังสือธรรมะ การแนะนำสั่งสอนผู้อื่นให้เข้าถึงธรรม ฯ... จัดเป็นบุญข้อนี้ทั้งสิ้น"  ลองติดตามค่ะ  :)

การแสดงธรรมเป็นบุญประการหนึ่ง และทำให้พระศาสนาดำรงมั่นมาได้จนถึงทุกวันนี้ ก็เพราะมีการแนะนำสั่งสอนสืบต่อกันมา เราทุกคนที่เข้าใจพระพุทธศาสนาอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะได้อาศัยครูบาอาจารย์ หรือ พ่อแม่แนะนำสั่งสอน หรือ อ่านหนังสือธรรมที่ท่านผู้รู้ธรรมได้แต่งหรือเขียน หรือรวบรวมไว้
การแสดงธรรมนี้ จัดเป็นทานอย่างหนึ่ง เรียกว่า "ธรรมทาน" เป็นทานที่มีผลมากกว่าทานทั้งปวง ดังพระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า
"สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ
 การให้พระธรรมชนะการให้ทั้งปวง

ทั้งนี้ก็เพราะว่าคนจะให้ทานก็ดี จะรักษาศีลก็ดี จะเจริญภาวนาก็ดี ก็ต้องอาศัยได้ฟังธรรมมาก่อน เขาจึงได้ทำบุญประเภทอื่น ๆ ถ้าไม่ได้ฟังธรรมมาก่อนแล้ว คนจะไม่ทำบุญอันใด แม้ใครจะทำบุญบ้างตามอัธยาศัยของตน แต่บุญนั้นก็มีผลน้อยเพราะทำไม่ถูกวิธี เพราะขาดผู้แนะนำสั่งสอน
การแสดงธรรมที่จัดว่าเป็นบุญนั้น ไม่ได้มีเพียงพระภิกษุสามเณรเท่านั้นที่แสดงได้ ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ย่อมแสดงได้ หรือทำบุญข้อนี้ได้ทั้งสิ้น
 การแสดงธรรมนั้น ไม่จำเป็นต้องแสดงบนธรรมาสน์เสมอไป ที่ใดก็แสดงหรือแนะนำสั่งสอนได้ เช่น ในบ้าน ในป่า ตามถนนหนทาง ในรถ ในเรือ แม้ในเครื่องบิน ทางสถานีวิทยุกระจายเสียง หรือทางสถานีโทรทัศน์ และการสอนในชั้นเรียน เป็นต้น

บุญอันเกิดจากการแสดงธรรมนั้น ไม่ใช่การพูดอย่างเดียว แม้การเขียนหนังสือธรรมะ การพิมพ์หนังสือธรรมะ หรือการให้ทุนในการพิมพ์หนังสือธรรมะออกเผยแพร่ก็จัดเข้าในบุญข้อนี้ทั้งสิ้น

แม้การบริจาคทุนทรัพย์ในการพิมพ์หนังสือธรรมะ หรือซื้อหนังสือธรรมะ หรือพระไตรปิฎกถวายพระ ถวายไว้ประจำวัด หรือแจกคนทั่วไป ก็จัดเป็นธรรมทาน คือ บุญอันเกิดจากการให้ธรรมะเป็นทานได้เช่นกัน


แม้การแนะนำสั่งสอนผู้อื่น ลูกหลาน หรือญาติมิตรให้เข้าถึงธรรม ให้ประพฤติธรรม ให้รู้จักบาป บุญ คุณ โทษ ประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ ก็จัดเป็นบุญในข้อแสดงธรรม การที่พ่อแม่แนะนำสั่งสอนลูกให้ประพฤติดี หรือพี่แนะนำน้อง เพื่อนแนะเพื่อนให้ละชั่วประพฤติดี ก็จัดเป็นบุญข้อนี้ทั้งสิ้น

ในเวลาแสดงธรรมให้ผู้อื่นฟังต้องตั้งใจให้ถูกต้อง ท่านว่าถ้ามีเจตนาหาลาภ หาเสียง ถือว่าเจตนาไม่ดี มุ่งที่ผลส่วนตัว จะไม่มีผลมาก แต่ถ้าตั้งเจตนาว่าเราจะแสดงธรรมไปเพื่อให้ผู้ฟังได้รู้เข้าใจถูกต้อง ให้มีสัมมาทิฐิ ให้ได้รับประโยชน์ ให้ได้พัฒนาชีวิตขึ้นไป ผู้ที่แสดงธรรมก็ได้บุญด้วย

Monday 26 December 2011

การฟังธรรมอย่างไรให้เกิดบุญ (11)



ที่มาภาพ: dhammathan.net

ไปงานศพ พระท่านเทศน์ คนไปร่วมงานก็คุยเอาๆ แล้วจะเอาบุญที่ไหนอุทิศให้ผู้ตาย ?? ลองอ่านดูนะคะ

 การฟังธรรมจัดเป็นบุญประการหนึ่ง เพราะทำให้เกิดปัญญา สามารถเข้าใจหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ ทำให้เรามีหลักในการประพฤติปฏิบัติและดำเนินชีวิตที่ดี จะทำให้รู้หลัก มองเห็นช่องทางแม้แต่ในการทำบุญ เพิ่มขึ้นอีก

ปัจจุบันหนังสือทางพระพุทธศาสนาประเภทต่าง ๆ มีมากขึ้น จึงทำให้เกิดความสะดวกในการทำบุญประเภทนี้ คือ บุญเกิดจากการฟังธรรม และบางคนก็ได้รับบุญนี้ทุกวัน เพราะชอบอ่านหนังสือธรรมะหรือชอบฟังรายการธรรมะ หรือรายการสวดมนต์ทางวิทยุ หรือจากเทปธรรมะ
การฟังธรรม ถ้าฟังแล้วไม่เข้าใจ ได้แต่ความเสื่อมใสอย่างเดียว เช่น ผู้ที่ไม่รู้ภาษาบาลี ฟังเสียงสวดมนต์หรือฟังพระสวดอภิธรรมในงานศพ ไม่รู้ไม่เข้าใจ ได้แต่ความเลื่อมใสอย่างเดียว อย่างนี้ท่านกล่าวว่าได้แต่บุญไม่ได้กุศล เพราะกุศล แปลว่า "ความฉลาด"
ฉะนั้น บางคนฟังธรรมได้แต่บุญอย่างเดียวไม่ได้กุศล แต่บางคนได้ทั้งบุญ ได้ทั้งกุศล แต่โดยทั่วไปแล้ว การฟังธรรมได้ทั้งบุญทั้งกุศล จึงมักพูดรวมกันว่า "ได้บุญ" คือ บุญอันเกิดจากการฟังธรรม
การฟังธรรม ถ้าให้ได้ประโยชน์มาก ผู้ฟังจะต้องตั้งใจฟังจริง ๆ มุ่งฟังเอาเนื้อหาสาระ เพื่อนำไปปฏิบัติและสั่งสอนผู้อื่น จึงจะเกิดปัญญาความรู้ความเข้าใจได้มาก ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า
สุสฺสูสํ ลภเต ปญฺญํ.
ผู้ตั้งใจฟังด้วยดี ย่อมได้ปัญญา

ฉะนั้น การฟังธรรมจะมีอานิสงส์มากก็ต่อเมื่อผู้ฟังตั้งใจฟัง ปัจจุบันคนส่วนมากไปวัด ไม่ว่างานมงคล งานศพ หรืองานใดๆที่มีการแสดงธรรม หรือที่เรียกกันว่า พระเทศน์ การบรรยายธรรม พอพระเริ่มแสดงธรรมชาวบ้านก็ไม่ประนมมือกันแล้ว พร้อมใจกันเอามือลงและเริ่มคุยกันบ้าง สัปหงกบ้าง ก้มหน้าเล่นเกมส์กดบ้าง ไม่ใส่ใจฟัง จะสนใจอีกครั้งก็ตอนท่านจบแล้วเริ่มกล่าวให้พร จะเอามงคล แต่ปฎิเสธปัญญา พอกรวดน้ำเพื่ออุทิศส่วนกุศล จะเอาบุญกุศลตรงไหนอุทิศไปให้เมื่อนั่งคุย หรือทำกิจกรรมอื่นไม่ได้ฟังที่ท่านบรรยายธรรมะตั้งแต่แรกจนจบ ท่านให้ศีลก็ไม่ได้ตั้งใจกล่าวรับศีลตามด้วยซ้ำ นี่เป็นการพลาดโอกาสอย่างยิ่ง เวลาไม่ถึงชั่วโมง จะฝึกทำจิตให้สงบได้กลับไม่ใช้โอกาสนั้นน่าเสียดายจริงๆ
การฟังธรรมมีประโยชน์หรืออานิสงค์ 5 อย่าง คือ
1. ผู้ฟังย่อมได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง
2. สิ่งใดที่เคยฟังแล้ว ถ้ายังไม่เข้าใจชัดย่อมเข้าใจชัด
3. บรรเทาความสงสัยเสียได้
4. ทำความเห็นให้ถูกต้องได้
5. จิตของผู้ฟังย่อมผ่องใส
ในสมัยพุทธกาล การเข้าใจพระพุทธศาสนาและการบรรลุมรรคผลส่วนใหญ่แล้ว เนื่องมาจากการฟังธรรมทั้งสิ้น เพราะไม่มีสื่อการฟังอย่างอื่น หนังสือก็มีใช้กันน้อยมาก แต่ตามความเป็นจริงแล้ว การได้ความรู้จากผู้อื่นมาก็จัดเข้าในการฟังทั้งสิ้นคือ การอ่านหนังสือ การฟังเทป การดูโทรทัศน์ ถ้าเกี่ยวกับเรื่องธรรมะแล้วก็เกิดบุญทั้งสิ้น และบุญประเภทนี้รวมเรียกว่า ธัมมัสสวนมัย คือบุญเกิดจากการฟังธรรม

Wednesday 21 December 2011

กระจกจากไตรภูมิพระร่วง


กระจก..เป็นสิ่งที่เราใช้ส่องมอง และกระจกที่ใสสะอาด ย่อมเป็นสิ่งที่ส่องแล้วสบายตา ใครมองผ่านก็สบายใจ ชีวิตคนเราก็เหมือนกระจกบานหนึ่ง ส่องเห็นทุกอย่างชัดเจนเมื่อกระจกใส สะอาด หากขุ่นมัวเพราะฝุ่น หรือสิ่งสกปรกอื่นใด กระจกบานนั้นก็แทบไม่มีประโยชน์อันใด หากเราเอาใจใส่ มีสติที่จะใช้กระจกส่องมองตัวเองทุกวัน ก็อาจจะเห็นฝุ่นละอองเกาะติดความขุ่นหมองอันนั้น เราก็ต้องหาผ้าที่สะอาดมาเช็ด เช็ดบ่อยเท่าใดกระจกก็จะใสเงางาม ส่องเห็นทั้งตัวเอง และสิ่งอื่นรอบตัวได้ชัดเจน ถูกต้องขึ้น เราคงจะรอให้ผู้อื่นมาเช็ดกระจกของเราคงไม่ได้ เพราะกระจกเป็นของเรา

ดังนั้นสิ่งที่เช็ดกระจก หรือเครื่องชำระจิตใจของเราคือ หนังสือดีๆ ที่สามารถให้ความรู้ความคิด ชี้นำในสิ่งที่ถูกต้อง สำหรับ meepole แล้วหนังสือพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ซึ่งปัจจุบันมีทั้งพระภิกษุผู้ทรงภูมิรู้ ฆราวาสผู้ศึกษา นำมาเขียนเรียบเรียง ให้หาเลือกอ่านกันได้มากมาย หากผู้ใดโชคดี มีเวลา ได้มีโอกาสศึกษาธรรมะ และปฎิบัติ กับพระสงฆ์ผู้มีปฎิปทาในพระธรรมวินัย ก็ถือว่าเป็นสิ่งมงคลแก่ชีวิตแล้ว หากยังไม่มีโอกาสนั้นๆก็ให้อยู่กับตัวเองด้วยการหาเวลาส่องสำรวจตัวเอง แล้ว เลือกหาหนังสือดีๆมาช่วยขัดเกลาจิตใจของเรา ลองดูนะคะ แล้วจะพบการเปลี่ยนแปลงในชีวิตเมื่อกระจกคุณใสขึ้นจริงๆค่ะ

เมื่อวานนี้พระอาจารย์ให้หนังสือไตรภูมิพระร่วงมาศึกษา เติมอาหารสมอง ขัดเกลาจิตใจ หาเวลาอ่านก่อนทันที เจอเรื่องที่อยากแบ่งปันกัน (แต่ไม่มีเวลาพิมพ์มากนัก เลยขอใช้วิธีลัดคือถ่ายรูปมาให้อ่านก่อน หากอ่านไม่ชัดให้คลิกที่รูปค่ะ แล้วเพิ่มเปอร์เซ็นต์ขนาดอักษร) ลองอ่านดูนะคะ อ่านแล้วเชื่อหรือไม่เป็นวิจารณญาณส่วนบุคคล แต่อะไรที่เชื่อแล้วไม่ทำให้เราตกต่ำลงในที่ชั่ว ก็ลองเชื่อดูไม่มีอะไรเสียหาย และเกิดประโยชน์อีกด้วย จนวันหนึ่งเมื่อได้เรียนรู้อะไรมากมายจะได้ไม่เสียใจในเวลาและสิ่งที่ผ่านมาเพราะมันไม่สามารถกลับไปแก้ไขได้อีกแล้ว



หากสนใจลองซื้อหามาอ่านนะคะ ปกแข็ง 250 บาทเองค่ะ ของธรรมสภา
ไม่แพงเลยสำหรับประโยชน์และคุณค่าของหนังสือเล่มนี้

Monday 19 December 2011

ไถ่ชีวิต..เพื่อชีวิต

พระอาจารย์คล้องพวงมาลัยรับขวัญ โปรยดอกไม้ด้วย

จากที่ได้ไปไถ่ชีวิตวัวปีนี้ พระอาจารย์  link (สามี) และ meepole 2 ตัว คุณละออ และคณะ 1 ตัว เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พ่อหลวงของเราชาวไทย ปีที่แล้วได้วัวแม่ลูก ปีนี้ก็ได้อีกเช่นกันโชคดีมากที่ได้ช่วยเขาทั้งคู่ http://meecorner.blogspot.com/2011/11/blog-post_27.html   แวะไปเยี่ยมเอากล้วยและหญ้าไปให้ จนวันที่ 5 ธันวาคม มีพิธีมอบวัวให้กับผู้ที่ต้องการนำไปเลี้ยงต่อปีนี้มีทั้งเกษตรกร วัด (พระ) ท่านมีโครงการทำแก๊สชีวภาพจากมูลวัว วัดรับไป 5 ตัว ครั้งนี้มีแม่วัวตัวหนึ่งคลอดลูกวัวก่อนวันมอบ 3 วัน ตั้งชื่อว่า ธันวา น่ารักมากเชื่องดี  ของเราตั้งชื่อว่า "แดง" ลูกชื่อ "นิล" อีกตัวชื่อ "สันติ" (ชื่อนี้ meepole ตั้งเพราะจนท.บอกว่า เขาอยู่นิ่งมาก วันๆไม่วุ่นวายกับอะไรเลย) ปีนี้ท่านเจ้าคณะจังหวัดฯมาเป็นประธานรับมอบ พระอาจารย์ (เจ้าคณะภาค) มอบให้ 3 ตัว จนท.รายงานสรุปว่าปีนี้ได้ไถ่ชีวิตวัว 26 ตัว มอบให้จังหวัดนครศรีธรรมราช สงขลา และสุราษฎรธานี
เจ้าตัวนี้ชื่อ สันติ เพราะไม่กวนใครเลย                                                           คุณลุงคนหนึ่งที่เป็นผู้ช่วยชีวิตวัวตัวนี้

เจ้าลูกวัวตัวข้างล่างนี่น่าสงสารมาก จนท.เล่าให้ฟังว่า เขาไปไถ่วัวมา 1 ตัวแล้วเห็นเจ้าลูกวัวตัวนี้มองมาเห็นแล้วสงสารแต่ตอนนั้นเงินบริจาคยังไม่พอ เธอเลยบอกลูกวัวตัวนี้ว่าแล้วเธอจะมาไถ่ออกไป เธอรออยู่ 5 วันมีเงินบริจาคครบก็ไปไถ่ตัว แต่มันเปลี่ยนไป ไม่ยอมให้เข้าไกล้ สะดุ้งอยู่ตลอดเวลา เพราะเขาเห็นเพื่อนถูกฆ่า ได้ยินเสียงโหยหวนตลอด 5 วัน เลยกลายเป็นวัวที่ไม่ยอมให้คนเข้าไกล้ ดัลนั้นใครเดินเข้าไกล้ก็จะวิ่งดึงเชือดตลอด งานนี้สามี meepole คงใช้ภาษาใจอยู่ครู่ใหญ่จึงสามารถช่วยคล้องมาลัยรับขวัญ ส่งตัวได้



บน ตัวนี้ตัวลูก ตัวแม่ก็สีนี้ เรียบร้อยน่ารัก

บน: เจ้าหนูธันวา อายุ 3 วัน โชคดีมากที่แม่เขาได้รอดชีวิต ไม่งั้นป่านนี้เจ้าหนูธันวาไม่ได้ลืมตาดูโลก

ล่าง: แม่เจ้าหนูธันวา เขาเชื่องมาก


บน: เจ้าหนูธันวา ซนจนเหนื่อย

ล่าง: ผู้มีจิตเมตตา ศรัทธาร่วมไถ่ชีวิตวัวกำลังรับของที่ระลึกจากเจ้าคณะจังหวัด



ลำเลียงขึ้นรถอีกครั้ง แต่ละตัวเคยประสบฝันร้ายมาแล้วที่เอาขึ้นรถ ไปโรงฆ่า อดอาหาร พอจะขึ้นรถอีกครั้งมันเลยดึงดันกันเหนื่อยทั้งวัวและคน จะเห็นเลยว่าเขาก็รักชีวิตตัวและเขาก็รักลูก หวงและห่วงลูกเฉกเช่นเดียวกับคน

ชีวิตทุกชีวิตมีค่าสำหรับผู้เป็นเจ้าของชีวิตเสมอ หากเราได้มีโอกาสช่วยชีวิตใครได้ไม่ว่าคนหรือสัตว์ อย่าปล่อยให้โอกาสนั้นผ่านไปเลย

บุญกุศลที่ได้ร่วมกันทำครั้งนี้เพื่อถวายแด่พ่อหลวงของปวงชนชาวไทย และหวังว่าทุกท่านที่ได้มีโอกาสเข้ามาในนี้เกิดปิติและอนุโมทนาบุญร่วมกันนะคะ :)

Sunday 18 December 2011

เที่ยวไปในธรรมาศรมธรรมมาตา ไชยา


by meepole

วันนี้ meepole ตั้งใจจะไปเยี่ยมสวัสดีปีใหม่แม่หมอที่ ธรรมาศรมธรรมมาตา แต่ท่านไม่อยู่ไปกทม.เลยนั่งเล่นที่ศาลาพุทธทาส 100 ปี แล้วกลับ เอามาบันทึกในนี้หากใครสนใจเผื่อจะมาอยู่กับตัวเองอย่างสงบจริงๆ เงียบมาก สงบ เย็น แต่รับเฉพาะสตรีเท่านั้น แต่หากบุรุษสนใจก็ไปได้ที่สวนโมกข์นานาชาติที่อยู่ติดกัน วันนี้มาไม่มีกิจกรรม พบผู้อาวุโส 1 คนอยู่ในอาศรม

ทุกสิ่งในนี้มีความเป็นอยู่เรียบง่ายตามอุดมคติสวนโมกข์ เป็นอยู่อย่างต่ำ มุ่งกระทำอย่างสูง


"ธรรมาศรมธรรมมาตา เป็นสถานปฏิบัติธรรม เผยแผ่ธรรมสู่โลกเพื่อสันติสุขส่วนบุคคล สันติภาพของโลก โดยเมตตาธรรมของท่านอาจารย์พุทธทาส อินทปัญโญ ที่มีต่อสตรีเพศ ซึ่งท่านให้เกียรติยกย่องว่าเป็น เพศแม่ ให้เพศแม่ได้มีโอกาสปฏิบัติธรรมจนได้ประโยชน์สูงสุดและเผยแผ่ธรรมด้วยการทำหน้าที่แทนภิกษุณีบริษัท (ซึ่งขาดหายไปจากพุทธบริษัทสี่ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา) โดยไม่ต้องบวชเป็นภิกษุณี ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ มีการกระทำโดยไม่มี(ตัวตน)ผู้กระทำ เพื่อโลกมีแม่เป็นธรรมะ มีธรรมะเป็นแม่"
(http://dhammayom.net/09suanmokkh/W-Foreword.htm)



นี่เป็นป้ายก่อนเข้าด้านใน สองป้ายติดกันกับป้ายด้านบน


บนล่าง: นี่เป็นทางก่อนถึงป้ายมีบ่อน้ำร้อนชาวบ้านจะมาอาบน้ำอุ่น


ล่าง เป็นป้ายบอกทางสวนโมกนานาชาติอยู่ติดต่อแดน มีประตูภายในที่เชื่อมถึงกัน


ล่าง: ถนนภายในธรรมะมาตา ซ้ายมือเป็นอาศรมแฝด 




บน: ศาลกลางน้ำสำหรับสมาธิ สงบใจ



บน:ชื่อศาลา

ล่าง:เป็นสิ่งที่กำลังก่อสร้างใหม่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร แต่คาดว่าน่าจะเป็นอาคารประชุม สวยเรียบๆดี




บน:อาคารห้องสมุด เข้าไปศึกษา ฟังเทปธรรมะบรรยาย

ล่าง:บรรยากาศเงียบๆ ที่เห็นซ่อนอยู่คืออาศรมแต่ละหลัง อยู่ห่างๆกัน



สำหรับกิจกรรมดีๆต่างๆอ่านได้ที่ http://www.dhamma4u.com/index.php/home/1-latest-news/1181-2011-03-03-06-54-29.html

Saturday 17 December 2011

การอุทิศบุญ ให้ได้รับผลบุญ (10/2)


ภาพจาก board.postjung.com

(ต่อจากครั้งก่อน) ..การให้ส่วนกุศลแก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เขาจะตายไปแล้วนานเท่าไรก็ได้ จะอุทิศเป็นภาษาไทยก็ได้ เป็นภาษาบาลี หรือภาษาอื่นใดก็ได้ มีน้ำกรวดก็ได้ ไม่มีน้ำกรวดก็ได้ มีกระดูกและชื่อของผู้นั้นก็ได้ ไม่มีก็ได้ ย่อมสำเร็จทั้งสิ้น


การอุทิศส่วนบุญโดยมีน้ำกรวดเพิ่งนำมาใช้ในยุคหลังนี้เอง คือหลังจากครั้งพุทธกาล แต่จะเกิดขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่เท่าไร ยังหาหลักฐานไม่พบ แท้ที่จริงการอุทิศส่วนกุศลที่เรียกว่าปัตติทานมัยนั้น เดิมทีไม่ต้องใช้น้ำเลย ฉะนั้นการอุทิศส่วนกุศล จะมีน้ำด้วยก็ได้ ไม่มีก็ได้ ย่อมสำเร็จทั้งสิ้น
หลายคนสงสัยมากว่าทำบุญไปแล้วครั้งหนึ่งถ้าไม่รีบอุทิศบุญ บุญจะหายหรือไม่  ลองพิจารณาจากเรื่องราวต่อไปนี้ที่ meepole คัดลอกมาจาก การอุทิศบุญที่ถูกต้องและได้ผล โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

การทำบุญไปแล้วครั้งหนึ่งสักกี่ปีๆ บุญก็ยังมีอยู่

การสร้างบุญเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ขึ้นอยู่กับสร้างดีก็ได้บุญ ถ้าสร้างไม่ดีก็ได้บาป หมายถึงก่อนจะทำบุญก็กินเหล้าก่อน พอพระกลับก็กินเหล้ากันอีก แต่ถ้าหากตั้งใจทำบุญโดยมีเจตนาบริสุทธิ์ ไม่มีบาปมีแต่บุญ อย่างนี้ผู้สร้างบุญก็ได้บุญเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นบุญจะต้องได้แก่ผู้สร้างบุญก่อน  แล้วผู้สร้างจึงจะอุทิศส่วนกุศลให้คนอื่นได้

บุญแม้ทำไปแล้วสัก 30 ปีก็ยังอุทิศส่วนกุศลได้ บุญไม่หาย ไม่ใช่เราทำบุญแล้วเดี๋ยวเดียวบุญหายไป ไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าทำบุญแล้วไม่ได้อุทิศส่วนกุศล ผู้ทำเป็นผู้ได้บุญเต็มที่สมบูรณ์แบบอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าเราจะให้เขาหรือไม่ให้ ถ้าเราไม่ให้เราก็ได้คนเดียว ทีนี้ถ้าเราให้เขาบุญของเราก็ไม่หมด ส่วนที่เราให้ไปไม่ได้ยุบไปจากของเดิม อย่างเรื่องของ พระอนุรุทธ สมัยที่ท่านเกิดเป็นคนเกี่ยวหญ้าช้างของมหาเศรษฐี เวลาที่ท่านทำบุญแล้ว เจ้านายมาขอแบ่งบุญ ท่านก็สงสัยว่าการแบ่งบุญจะแบ่งได้ไหม จึงไปถามพระปัจเจกพุทธเจ้าที่ท่านรับบาตร
ท่านก็เปรียบเทียบให้ฟังว่า

สมมติว่าโยมมีคบและก็มีไฟด้วย แต่คนอื่นเขามีแต่คบไม่มีไฟ ทุกคนต้องการแสงสว่างก็มาขอต่อไฟที่คบของโยม แล้วคบของทุกคนก็สว่างไสวหมด อยากทราบว่าไฟของโยมจะยุบไปไหม
ท่านพระอนุรุทธก็ตอบว่า ไม่ยุบ

แล้วพระปัจเจกพุทธเจ้าท่านก็บอกว่า

การอุทิศส่วนกุศลก็เหมือนกัน เราให้เขา เขาก็โมทนา แต่บุญของเราก็ยังอยู่เต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้หายไป

การอุทิศส่วนกุศลแก่บุคคลต่างๆ ที่ตายไปแล้ว

ถ้านึกได้ออกชื่อเขาก็ดี เพราะถ้ากรรมหนาอยู่นิด ถ้าออกชื่อเจาะจงเขาก็ได้รับเลย ถ้านึกไม่ออกก็ว่ารวมๆ ญาติก็ดี ไม่ใช่ญาติก็ดี ถ้า ขืนไปนั่งไล่ชื่อน่ากลัวจะไม่หมด มีอยู่คราวหนึ่งนานมาแล้วไปเทศน์ด้วยกัน 3 องค์ บังเอิญมีอารมณ์คล้ายคลึงกัน วันนั้นทายกนำอุทิศส่วนกุศลออกชื่อคนตายกับบรรดาญาติทั้งหลายที่ตายไปแล้ว ปรากฏว่าบรรดาผีทั้งหลายก็เข้ามาเป็นหมื่นล้อมรอบศาลา คนที่เป็นญาติก็โมทนาแล้วผิวพรรณดีขึ้น พวกที่มิใช่ญาติก็เดินร้องไห้กลับไป ตอนท้ายมีคนถามถึงการอุทิศส่วนกุศลว่าทำอย่างไร
พระองค์หนึ่งท่านเลยบอกว่า ญาติโยมที่นำอุทิศส่วนกุศล อย่าให้ใจแคบเกินไปนัก อย่าลืมว่าการทำบุญแต่ละคราว พวกปรทัตตูปชีวีเปรตก็ดี พวกสัมภเวสีก็ดี จะมายืนล้อมรอบคอยโมทนา แต่ถ้าเราให้แก่ญาติ ญาติก็จะได้ บุคคลอื่นที่ไม่ใช่ญาติก็จะไม่ได้ ฉะนั้นควรจะให้ทั้งหมดทั้งญาติและไม่ใช่ญาติ

และตอนที่พระให้พร เจ้าภาพและทุกท่านที่บำเพ็ญกุศลแล้ว มีการถวายสังฆทานก็ดี การเจริญพระกรรมฐานก็ดี ควรตั้งจิตอธิษฐานตามความประสงค์ การตั้งจิตอธิษฐานเรียกว่า อธิษฐานบารมี ถ้าท่านตั้งใจเพื่อพระนิพพานก็ต้องอธิษฐานเผื่อไว้ โดยอธิษฐานว่า

ขอผลบุญทั้งหมดนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าเข้าถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ แต่ถ้าหากข้าพเจ้ายังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด จะไปเกิดใหม่ในชาติใดก็ตาม ขอคำว่าไม่มีจงอย่าปรากฏแก่ข้าพเจ้า

อ้างอิง: 1. "การอุทิศบุญที่ถูกต้องและได้ผล" โดยหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง (พระราชพรหมยาน
           2.  "บุญกิริยาวัตถุ ๑๐" โดยพระเทพวิสุทธิกวี (พิจิตร ฐิตวณฺโณ)

และเรื่องราวดีๆอีกมากมายที่สามารถหาอ่านได้ใน  http://www.dhammatan.net/

Wednesday 14 December 2011

การอุทิศแผ่ส่วนบุญอย่างไรให้เกิดบุญ (10/1)

การอุทิศแผ่ส่วนบุญก่อให้เกิดบุญ



 พุทธศาสนิกชน เมื่อทำบุญอันใดแล้วก็มักจะอุทิศส่วนบุญนั้นแก่ท่านผู้มีพระคุณ หรือแก่คนอื่น สัตว์อื่น เจ้ากรรมนายเวร  เพราะหวังจะให้เขาเหล่านั้นให้ได้รับผลบุญเพิ่มขึ้น เป็นการแสดงออกถึงการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่ขี้เหนียว มีใจกว้างหวังประโยชน์สุขต่อคนอื่น สัตว์อื่น เมื่อตนได้รับบุญแล้วก็หวังจะให้คนอื่น สัตว์อื่นได้รับบุญนั้นด้วย เหมือนคนมีความรู้แล้วก็ถ่ายทอดให้แก่คนอื่น ด้วยหวังให้เขาได้มีความรู้ความสามารถด้วย
บางคนทำบุญ เช่น ให้ทาน รักษาศีล หรือเจริญภาวนาแล้วก็ไม่ยอมอุทิศบุญที่ได้รับนั้นให้แก่ผู้ใด ก็จะได้บุญแต่ผู้เดียว และได้บุญเฉพาะในเรื่องของทาน ศีล หรือ ภาวนาที่ตนได้ทำเท่านั้น แต่ไม่ได้บุญข้อปัตติทานมัย แต่ถ้าหากว่าผู้นั้นอุทิศส่วนกุศลนั้นแก่ผู้อื่นด้วย เขาก็จะได้บุญเพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่ง คือ ปัตติทานมัย บุญเกิดจากการให้ส่วนบุญ

  การอุทิศบุญหรือแบ่งบุญให้ผู้อื่น สามารถให้ได้ทั้งผู้ที่มีชีวิตอยู่และล่วงลับไปแล้ว โดยที่ผลบุญของเราไม่ได้ลดน้อยลงแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับทำให้เราได้บุญมากขึ้นไปอีก เรื่องนี้มีกล่าวในพระไตรปิฎก (พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม 1 ภาค 1 หน้าที่ 307) เวลาเราทำบุญมาเปรียบเสมือนเราได้จุดเทียนไข เมื่อมีคนมาขอต่อไฟ เราก็ยินดีให้เขาต่อไฟ ไฟเราก็ยังอยู่ แม้จะมีคนมาขอจุดไฟ 100 คน ไฟเราก็ไม่ได้หายไปแม้แต่น้อย
จุดประสงค์ของการอุทิศส่วนบุญ ก็เพื่อให้บุคคลอื่นได้ร่วมอนุโมทนา ซึ่งจะเป็นเหตุให้กุศลจิตของบุคคลอื่นเกิดได้ กุศลจิตที่อนุโมทนาย่อมเป็นกุศลของผู้อนุโมทนาเอง ซึ่งกุศลที่เกิดขึ้นด้วยการอนุโมทนานี้จะเป็นเหตุให้ได้รับผลที่ดี คือ กุศลวิบากจิตเกิดขึ้น ไม่ใช่เราหยิบยื่นกุศลของเราให้คนอื่น  แต่การที่เราทำบุญ แล้วเป็นเหตุให้คนอื่นที่รู้อนุโมทนายินดีด้วย ขณะใดที่เขาอนุโมทนายินดีด้วย ขณะนั้นก็เป็นกุศลของเขา  ซึ่งจะต้องเป็นกุศลจิตของผู้ที่อนุโมทนาเท่านั้นจริง ๆ ดังนั้นทั้งการอุทิศบุญ และการอนุโมทนาในบุญที่ผู้อื่นได้กระทำ ล้วนเป็นบุญกุศลทั้งนั้น

 การให้ส่วนบุญแก่คนที่ยังมีชีวิตอยู่ จะให้ต่อหน้าก็ได้ ให้ลับหลังก็ได้ การให้ต่อหน้า เช่น เราทำบุญมาอย่างหนึ่ง จะเกิดจากทานก็ตาม จากศีลก็ตาม หรือจากภาวนาก็ตาม เมื่อเราพบพ่อแม่หรือญาติ มิตรสหาย ก็บอกว่า "วันนี้ผม หรือดิฉัน ได้บวชลูกหรือบวชหลานมา ขอให้คุณ... จงได้รับส่วนกุศลนั้นด้วย ขอให้อนุโมทนาในส่วนกุศลครั้งนี้ด้วย" ผู้รับจะอนุโมทนาหรือไม่ก็ตาม แต่ผู้ให้ย่อมได้รับส่วนบุญแล้ว ถ้าเขาอนุโมทนา เขาก็ได้รับบุญข้อปัตตานุโมทนามัยด้วย

การอุทิศบุญจะต้องอุทิศเป็นภาษาบาลี หรือต้องมีน้ำกรวดหรือไม่ ตอนต่อไปค่ะ :)

Monday 12 December 2011

คิดให้เป็น..สุขที่แท้


เมื่อวานต้องเดินทางเข้าป่าไปเยี่ยมคารวะพระอาจารย์รูปหนึ่ง ระยะทางพอประมาณแต่เส้นทางไม่ต้องพูดถึงมีให้หวาดเสียวลงน้ำที่เชี่ยวกราก สามช่วงใหญ่ๆเพราะทางขาดยังจัดการไม่เรียบร้อย ลัดเลาะไปตามรอยที่ทำไว้ให้ เลยจะติดหนังสือไปอ่านตอนเดินทางเสมอ คราวนี้หนังสือที่ติดไปชื่อ วิธีคิดตามหลักพุทธธรรม ของพระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตโต) พิมพ์ครั้งที่ 10 (2551) ตอนนี้คงพิมพ์เพิ่มแล้ว ต้องขอบอกว่าอ่านแล้วต้องย้อนอ่านซ้ำ อ่านแล้วคิด meepole จะเป็นคนที่อ่านหนังสือเร็วมาก รู้ตัวดี บางเล่มอ่านไป scan เอาแต่เนื้อแยกน้ำและกากออก เก็บเข้าคลังสมอง ยิ่งหนังสือขนาดเพียง 150 หน้า อ่านไม่ถึงชั่วโมงจบเล่มแน่นอนแถมมีพักสายตาได้ด้วย แต่หนังสือเล่มนี้สองชั่วโมง อ่านได้ไม่ถึงครึ่งเล่ม เพราะมีแต่เนื้อล้วนๆ ต้องอ่านแล้วทำความเข้าใจ (ไม่ได้ยากมาก แต่อยากอ่านไปจำไป คิดไป) อ่านวางไม่ลงก็ถึงที่หมายก่อน ขากลับพยายามอ่านได้เล็กน้อยเพราะค่ำแล้วอ่านไม่เห็น เลยตั้งใจว่าจะมาเขียน เพียงแค่เกริ่นเพื่อให้ท่านผู้สนใจหาอ่าน กันตามอัธยาศัยและเกิดประโยชน์อย่างยิ่งในการดำเนินชีวิต

หนังสือเล่มนี้อธิบายวิธีคิดแบบต่างๆ ตามหลักพุทธธรรม (โยนิโสมนสิการ) เพื่อการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง เพียงแค่ปกหลังที่เขียนเกริ่นว่า


"คนเรานี้จะมีความสุขอย่างแท้จริง ต้องดำเนินชีวิตให้ถูกต้อง จะต้องปฎิบัติถูกต้องต่อตนเอง และต่อสภาพแวดล้อมทั้งทางสังคม ทางธรรมชาติ และทางวัตถุโดยทั่วไป รวมทั้งเทคโนโลยี 

คนที่รู้จักดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง ย่อมมีชีวิตที่ดีงาม และมีความสุขที่แท้ ซึ่งหมายถึง การมีความสุขที่เอื้อต่อการเกิดมีความสุขของผู้อื่นด้วย"
ข้อความเพียงแค่นี้ หากทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ คิดให้เป็น แล้วปฎิบัติ ก็จะประสบพบความสุขที่สงบ

ปัญหาที่เกิดขึ้น และเป็นทุกข์ ขาดสุข ไม่มีสงบ เพราะส่วนมากคิดไม่เป็น ไม่แก้ปัญหาให้ตรงจุด แต่กลบปัญหาไว้ชั่วคราว หากรู้จักคิดโดยมีสติและใช้ปัญญา โดยใช้ โยนิโสมนสิการ พูดย่อ คือ คิดถูกวิธี คิดมีระเบียบ ติดมีเหตุผล คิดเร้ากุศล (เร้าคุณธรรม คือคิดเป็นประโยชน์) แค่นี้ทุกข์ก็ลด ปัญญาจะเกิด สติกลับมา ปัญหาใหญ่แค่ไหนก็แก้ได้

การคิดแต่ละแบบ รายละเอียดมีในหนังสือเล่มนี้ อยากให้ทุกท่านมีโอกาสได้อ่านจริงๆค่ะ  แล้วจะไม่ยอมใช้ positive thinking คิดบวก หลอกตัวเอง และผู้อื่นไปวันๆ โดยไม่เข้าถึงการแก้ปัญหาอย่างแท้จริงอีก เพราะเป็นเพียงการกลบปัญหาชั่วคราวขณะหนึ่งเท่านั้น   หามาอ่านกันนะคะ :)

Saturday 10 December 2011

หนังสือพุทธอัศจรรย์


เช้าวันนี้ไปวัดกับ link จัดอาหารถวายพระอาจารย์ตามปกติ ฉันเสร็จ สนทนากับพระอาจารย์ ตอนหนึ่งเล่าเรื่องที่เขียนบล็อกในวันพ่อเรื่องของก๋ง แล้วมีคุณคนบ้านไกล กัลยาณมิตรจากแดนไกล (ตอนอยู่ไทยไม่เคยรู้จักกัน :) http://www.gotoknow.org/blogs/posts/470793  มาเอาไปลงในบล็อกของคุณคนบ้านไกล เพราะชอบเรื่องราวที่เขียนไว้ และเขาอยู่ที่อเมริกา meepole ดีใจ และขอขอบคุณที่คุณคนบ้านไกลที่ชอบและนำไปเผยแพร่ต่อ เพราะคำสอนของก๋งหากเกิดประโยชน์และข้อคิดแก่บางคนในสังคมได้บ้างก็จะเป็นอานิสงค์ที่ดี

meepole เรียนพระอาจารย์ว่าคนที่อยู่แดนไกลมาอ่านกันมาก โดยเฉพาะคนไทยในอเมริกา meepole ดีใจ  ว่าแล้วพระอาจารย์ได้เอาหนังสือพุทธอัศจรรย์ มาให้ดู บอกว่าเพิ่งได้รับหนังสือสองเล่มนี้ส่งมาจากอเมริกา ตามหน้าซองส่งจาก LA. CA.USA .เมื่อ 25 Nov 11 ส่งโดยคุณอริยะ ผู้เขียนหนังสือนี้ พระอาจารย์เพิ่งได้รับ และเปิดดูแล้ว แต่พระอาจารย์ไม่ทราบว่าคุณอริยะรู้จักพระอาจารย์ได้อย่างไร หรือใครแนะนำให้ส่งมาให้ เพราะไม่มีข้อความอื่นใดแนบมา เมื่อได้ยินที่ meepole เล่าเลยคิดว่าเป็นไปได้ไหมที่คุณอริยะเข้ามาอ่านบล็อกของ meepole และได้อ่านกิจกรรมของพระอาจารย์บ้าง จึงรู้จัก อย่างไรก็ตาม meepole รับปากท่านว่าจะนำมาเขียนในนี้เพื่อ แจ้งให้คุณอริยะทราบว่าพระอาจารย์ฝากเรียนว่า "ได้รับหนังสือแล้ว ขอขอบคุณ และอนุโมทนาในสิ่งที่โยมอริยะได้ปฎิบัติ และขออำนวยพรให้คุณอริยะเช่นกัน"  ดังนั้น หากเรื่องที่คาดเป็นจริงก็ดีใจที่คุณอริยะคงได้มาอ่านบล็อกนี้และเห็นข้อความนี้ แต่หากไม่ไช่ก็หวังว่าจะมีคนรู้จักคุณอริยะ ช่วยกรุณานำความไปบอกให้ทราบด้วยนะคะ  และ meepole ขออนุญาตศึกษาหาความรู้จากหนังสือสองเล่มนี้เช่นกันค่ะ ขอขอบพระคุณอีกครั้งในความเมตตาที่ได้ส่งหนังสือที่มีคุณค่ามาจากแดนไกล

http://meepolen.blogspot.com/2011/12/6-4-usa-link.html

Monday 5 December 2011

จากก๋ง ....ถึงวันพ่อ



หาก"พ่อ" หมายถึง ชายผู้ให้กำเนิดแก่ลูก meepole ก็ไม่มีพ่อ เพราะพ่อเสียชีวิตไปตั้งแต่ meepole อายุได้ 2 ขวบ  เมื่อถึงวันพ่อ meepole ไม่ได้มีโอกาสดีเหมือนคนอื่นๆที่มีพ่อ ได้ทำกิจกรรมดีๆร่วมกัน.  ผู้ชายคนเดียวในครอบครัวที่มีคือ "ก๋ง"   โชคดีที่ก๋งเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี เป็นตัวอย่างในการปฎิบัติตน ดังนั้นสำหรับทุกคนพ่อ คือผู้ให้กำเนิด แต่สำหรับ meepole ผู้เป็นพ่อคือ ผู้มีพระคุณผู้เป็นแบบอย่างที่ดี  ผู้ที่เอาใจใส่อบรมสั่งสอนให้ฉันเป็นคนดี  และผู้นั้นคือ...ก๋ง

Meepole เรียกพ่อของแม่ว่า ก๋ง ทั้งที่ก๋งเกิดที่เมืองไทย ก๋งเป็นทหารผ่านศึกสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบก ยายมักเล่าวีรกรรมความดีที่ก๋งได้ทำมาให้ฟังเสมอ และ meepoleเองก็ได้เห็นสิ่งดีๆที่ก๋งทำให้ครอบครัว ตลอดจนให้สังคม ก๋งคุยน้อยแต่สอนด้วยการปฎิบัติให้เห็น แต่หากจะพูดกับ meepole นั่นคือการสอน การตักเตือน  การปฎิบัติจึงสำคัญกว่าคำพูด เพราะมันจะฝังใจ ความซื่อตรง และตรงไปตรงมาของก๋งเป็นสิ่งที่ meepole ได้รับมาเต็มๆ ตัวอย่างหนึ่งที่ติดในใจมาคือ ครอบครัวเราเปิดร้านขาย เหล็ก ปูน วัสดุก่อสร้าง เป็นร้านแรกๆของจังหวัดเลยทีเดียว  เรามีปั้มน้ำมัน (โมบิลออย ม้าบิน) แบบลอยน้ำด้วย  การขายของในร้านต้องมีใบเสร็จเพื่อเสียภาษี  มีระเบียบว่าถ้าซื้อของมากกว่า 10 บาทขึ้นไปต้องเขียนใบเสร็จ และคนส่วนมากไม่ต้องการใบเสร็จ ยกเว้นที่ซื้อมากๆ แต่ก๋งสั่งในบ้านทุกคนว่าต้องออกใบเสร็จให้ไม่ว่าเขาจะเอาหรือไม่ก็ให้เขียนเสมอ ( สมัยก่อนต้องเขียนแล้วรองกระดาษคาร์บอนอีกชั้น)  และหากซื้อไม่ถึง 10 บาท ก๋งก็ให้ทดเขียนจดลงบนกระดาษเปล่า ตอนเย็นให้รวมเงินมาเขียนรวมกันในหนึ่งใบเสร็จ  เราก็ถามก๋งด้วยความแปลกใจว่าทำไมต้องทำ เขาไม่เอาก็ดีแล้วไม่ต้องเสียภาษี นั่นคือคำถามในวัยประถม ก๋งตอบว่า "ต้องเขียน นั่นคือการเสียภาษีให้แผ่นดิน และภาษีนั่นนำกลับมาสร้างถนนให้เรา และทำให้บ้านเมืองเราดี"  นั่นเป็นคำตอบที่เราจำได้ และก๋งเข้มงวดกับเรื่องนี้มาก (ทุกกิจการตอนนี้ไม่มีแล้ว)

 เมื่อ meepole โตขึ้นครั้งหนึ่งจำได้จนบัดนี้เพราะเป็นเรื่องที่ทำให้ฉันเรียนรู้เรื่องความซื่อตรงที่สู้กับความไม่ซื่อตรงของข้าราชการ เมื่อวันหนึ่งสรรพากรจังหวัดได้ขอตรวจบัญชีของร้านของก๋ง ก๋งให้ม่าม้าป็นคนทำบัญชีของร้านเพราะแม่จบบัญชีมา แม่ทำละเอียดมาก ทุกเย็นเราจะเห็นแม่นั่งสรุปจากสมุดใบเสร็จลงสมุดเล่มโตเสมอ การตรวจไม่น่าจะมีปัญหาแต่ปรากฏว่ามีปัญหา เราได้ยินก๋งพูดกับยายว่าสรรพากรตรวจไม่พบว่าร้านเราเลี่ยงภาษีอะไร เลยขอตรวจย้อนหลัง10 ปี ก๋งก็บอกว่าได้จะเอาไปให้ตรวจ เราไม่แน่ใจว่าคืออะไร.... จนกระทั่งเช้าวันหนึ่งก๋งเหมารถสามล้อถีบเป็นสิบคัน ต่อแถวยาว ขนสมุดใบเสร็จทุกเล่มที่มัดเป็นมัดเล็กๆ ย้อนหลัง 10 ปี (โชคดีที่ก๋งเก็บและสอนเราว่าหลักฐานทุกอย่างต้องเก็บให้ดี ไม่ถึงเวลาห้ามทำลาย)  ไปประกอบสมุดบัญชีที่มี เราได้ยินก๋งบอกว่าเอาไปให้เขาตรวจว่าร้านเราลงรายการจริงครบ ทำบัญชีจริงไม่มีหลบหลีก เรื่องราวน่าจะจบ แต่ไม่จบ เมื่อมีเจ้าหน้าที่เสรรพากร เราจำไม่ได้ว่าใคร มาพูดกับก๋งว่า ตรวจแล้วไม่พบที่ผิด แต่ขอเงิน 5,000 บาท เป็นค่าตรวจ เพราะต้องตรวจเอกสารเยอะมาก ก๋งมาเล่าให้พวกเราฟังว่า ก๋งตอบไปว่า เงิน 5,000 บาทให้ไม่ได้หรอก เพราะเราไม่ได้ทำอะไรผิด จะเป็นค่าปรับก็ไม่ได้  แต่ทางนั้นก็ยังคงขอกระมัง ก๋งจึงตอบว่า ถ้าจะเอาเงิน 5,000 บาทจริง ก็ให้สรรพากรเขียนใบเสร็จรับเงินบริจาค ก๋งจะถือว่าบริจาคให้หน่วยงานหลวง  อย่างนั้นก๋งจะให้  ก๋งเอามาพูดสอนกับพวกเราว่าถ้าไม่ทำอะไรผิดก็ไม่ต้องกลัว ไม่มีอะไรทำให้เราผิดได้หากเราไม่เคยทำผิด  และสอนให้เห็นเรื่องการไม่ก้มหัวให้กับสิ่งไม่ถูกต้อง ไม่ให้หรือรับสินบน ไม่ทำในสิ่งที่ผิดต่อแผ่นดิน เราจำฝังเข้าในใจและนั่นคือการเรียนรู้พฤติกรรมที่น่ารังเกียจตั้งแต่เด็ก และไม่ชอบการเป็นข้าราชการตั้งแต่นั้น..ก๋งสอนให้เรียนรู้ว่าคำว่า ฉ้อราษฎร์ บังหลวง  คืออะไร และอย่าได้ทำเป็นอันขาด!!!

ก๋งเป็นตัวอย่างที่ดีของผู้ที่ช่วยเหลือคนในชุมชนยังมีอีกหลายเรื่อง คิดตั้งใจว่าวันหนึ่งในอนาคต หากมีเวลามากขึ้นเมื่อลาออกจากราชการแล้วจะเขียน อยู่กับคำสอนก๋ง  มีอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นตัวอย่างคือ ก๋งสนใจศึกษาสมุนไพรไว้ช่วยคนมาก ก๋งอ่านหนังสือจีนไทย ก๋งปลูกสมุนไพรที่ปัจจุบันน้อยคนนักที่รู้ว่าต้นนี้รักษาโรคความดันสูงชะงัดนักและใช้รักษาความดันต่ำได้ด้วยโดยพืชชนิดเดียวกันแต่กินคนละวิธี ก๋งเอามาปลูกไว้รักษาคน ก๋งใช้ไผ่ธิเบตรักษาฝีฝักบัวที่อยู่กลางหลังของเถ้าแก่โรงไม้ที่ลูกชายเป็นหมอที่ศิริราชสมัยก่อนไม่กล้าผ่าให้เพราะอายุมากแล้วแต่ก๋งรักษาจนหายเป็นเดือน เราดูการรักษาตั้งแต่เด็ก  ก๋งทำยาแก้ปวดฟันซึ่งเป็นเรื่องทรมานของคนสมัยก่อนที่ไม่ได้มีหมอฟันมากมายแบบปัจจุบัน ก๋งต้องสตุ (เผาในกระป๋องนม)สารส้ม แล้วบดผสมตัวยา ใช้ที่บดแบบเรือมีลูกกลิ้งเหล็กกลิ้งไปมา แล้วร่อน ต้องบรรจุขวดเล็กๆ ทำโรเนียวฉลากเล็กๆที่เขียนด้วยลายมือเอง กวนแป้งเปียกเอง จำได้ประโยคที่ก๋งเขียนไว้หน้าขวดคือ ยาแก้ปวดฟันทำใช้เอง แจกฟรีไม่ขาย ก๋งบอกว่าเราไม่ไช่หมอแม้อยากช่วยก็มีข้อจำกัด  เขาใช้ดีหายเจ็บก็บอกต่อๆ มาขอ เราให้  และมีคนมาขอทุกวัน มีบางคนอยากให้เงิน บางคนคิดว่าจะซื้อ แล้วแต่ใครจะคิด แต่ก๋งจะให้พร้อมคำสอนกลับไปเสมอ หลายคนมาถึงบอกว่าขอซื้อยาแก้ปวดฟันก๋งจะบอกว่าที่นี่ไม่มียาขาย  เขาก็กลับไป พร้อมกลับมาใหม่และบอกว่ามาขอยาแก้ปวดฟันก็จะได้ไปทันที อย่างน้อยก็เรียนรู้ว่าเงินของบางคนก็ซื้อไม่ได้ทุกอย่าง และไม่ไช่ทุกอย่างในโลกนี้จะได้มาด้วยเงิน และเงินไม่สามารถทำให้จิตใจที่ตั้งมั่นจะช่วยคนของก๋งหวั่นไหวเลย ขอบคุณสิ่งดีๆที่ก๋งถ่ายทอดให้ meepole
ดอกไม้วันพ่อ คือพุทธรักษา

วันนี้เป็นวันที่สมมติว่าเป็นวันพ่อ ทำให้ meepole นึกถึงก๋ง ที่รักและเคารพเหมือนพ่อ เป็นตัวอย่างที่หล่อหลอมให้เราเป็นคนที่ไม่ยอมให้สิ่งชั่ว ไม่ถูกต้อง มาครอบงำ เมื่อต้องมารับราชการด้วยความต้องการอย่างยิ่งของครอบครัว (ส่วนตัวไม่ชอบ) meepole ไม่เต็มใจแต่ก็บอกที่บ้านว่าถ้าเป็นช้าราชการก็เป็นคนดีได้ยาก แน่นอนเพราะจากที่รับรู้มา ก๋งเลยให้คำสอนที่ครั้งเดียวจำจนบัดนี้และคงปฎิบัติเรื่อยมาคือ  การเป็นข้าราชการเป็นไม่ยาก ให้ทำตัวเป็นข้าของแผ่นดิน ไม่ใช่ข้าส่วนตัวใคร และอย่าทำอะไรผิดเป็นอันขาด ก็จะไม่มีใครทำอะไรได้ คำสอนของก๋งเป็นเกราะคุ้มกันตัวที่แข็งแรง ปลอดภัย และมั่นคง มั่นใจในการต่อสู้กับสิ่งที่ไม่ถูกต้องมาตลอดเวลาที่รับราชการ  และกล้าที่จะรับรองตัวเองได้ในเรื่องของความสุจริต ซื่อตรงต่อเงินแผ่นดิน และไม่ยอมทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องต่างๆตามที่ผ่านเข้ามาในเส้นทางของงาน  ใช้ความรู้ในทุกสิ่งอย่างถูกต้องเที่ยงธรรม และรับผิดชอบ  แม้ว่าจะไม่ก้าวหน้าในชีวิตราชการมากนัก เพราะไม่สามารถทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง (และยังขัดขวางอีก) แต่ชีวิตไม่ตกต่ำ  มีความสุขในชีวิตส่วนตัว มีความสบายใจและสงบเย็นใจในทุกที่ เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน มองในกระจกไม่ละอายต่อตัวเองและบรรพบุรุษที่สั่งสอนเรามา   ชีวิตโชคดีได้พบกัลยาณมิตร มีแต่คนดีจริงๆที่เข้ามาใกล้ตัวได้ในชีวิต  สิ่งไม่ดีอยู่ไกลห่างเสมอ .... ชีวิตเกิดมาคุ้มแล้วสำหรับการเป็น คน และจะขอทำความดีไปเรื่อยๆเท่าที่โอกาสจะเหลือให้

ทั้งหมดที่ผ่านมาไม่ว่าความดี ผลบุญใดที่ได้ทำ meepole ขอถวายเป็นพระราชกุศลแก่ พ่อหลวงของเรา ผู้เป็นพ่อแห่งแผ่นดิน ผู้เป็นแบบอย่าง ที่สอนด้วยการปฎิบัติพระองค์  เชื่อว่าสิ่งที่พระองค์ปรารถนาเหนืออื่นใด คือการให้ลูกในแผ่นดินของพระองค์เป็นคนดี ชื่อสัตย์สุจริต สามัคคี มีชีวิตเพื่อทำคุณให้แผ่นดินเหมือนที่พระองค์ท่านอุทิศมาตลอดชีวิต  

นี่คือสิ่งที่ meepole แน่วแน่ที่จะทำต่อไป และไม่ว่าใครจะอยู่ในแผ่นดินไทยหรือไม่ หากเราเป็นคนไทย  เป็นคนดี ทำสิ่งดีๆถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เพื่อถวายให้ พ่อของแผ่นดิน  เพียงแค่นี้ถือว่าทำคุณให้แผ่นดินไม่เสียชาติเกิดเช่นกัน
ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน พระพลานามัยสมบูรณ์
เป็นมิ่งขวัญแบบอย่างของชาวไทยทุกคนตลอดไป