Monday 1 August 2011

หยุดหาสุข...ได้แล้วจ๊ะ

หยุดหาสุข..ได้แล้วจ๊ะ


เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา meepole ได้ดูภาพยนตร์ซีรีย์ เรื่องเจ้าหญิงอัตสึ ที่ติดตาม มาหลายเดือน ตอนนี้ก็อวสานแล้ว เรื่องนี้มีคำพูดสะท้อนความคิดและวัฒนธรรม  แม้กระทั่งการเรียนรู้ชีวิตจากการดำเนินเรื่องแบบเงียบๆ soft approach แบบญี่ปุ่น  ตอนนี้เป็นตอนที่คัตสึ นายพลเรือคนเก่าแก่มาเยี่ยมเยือนอัตสึในวัยกลางคนที่อยู่อย่างเงียบๆ แล้ว ก็เลยถามทุกข์ สุข เจ้าหญิงอัตสึ ผู้ผ่านชีวิตมาในท่ามกลางมรสุมทุกรูปแบบก็ตอบว่า
"ความสุขของคนเรา ไม่ใช่เพราะ มีทรัพย์สิน ตำแหน่ง เกียรติยศ ชื่อเสียง...
แต่เป็นความรู้สึกในอก อกอุ่นจากการมีเพื่อนที่รู้ใจ และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับครอบครัว"

meepole เคยอ่านบทความ ข้อเขียนจากหลายๆที่ ที่มักจะเขียนหรือตั้งคำถามกันเสมอว่า ความสุข คืออะไร  เป็นอย่างไร ทำอย่างไรจึงสุข  ก็จะได้คำตอบที่หลากหลายแล้วแต่คนเขียนเหล่านั้น ไปสืบเสาะ อ่าน หรือเอาแนวทางจากที่ใดๆมาเขียน และจะมีส่วนน้อยที่จะได้บรรยายความสุขที่ตนเอามาเขียนนั้นที่ได้มาจากการปฏิบัติตนและเกิดสุขเช่นนั้นด้วยตัวเองมาแล้ว  เปรียบเหมือนกับพิธีกรรายการอาหาร ที่เชิญเซฟมือโปรมาปรุงอาหาร แล้วก็พูดบรรยายไปเรื่อยๆ เช่น เติมโน่นนี่ กลิ่นหอมมากๆ ดูสวยน่าทาน ฯ แล้วสุดท้ายเขาอาจได้ชิม หรือไม่ก็ตาม  บางครั้งยังไม่รู้รสเลย แต่จะจบด้วยคำว่า อร่อยจริงๆครับ/ค่ะ .ผู้ชมในบ้านที่ดูแล้วสนใจหากอยากจะอร่อยเช่นนั้นจริงๆก็จะมีสองทางคือ ทำเองที่บ้านตามวิธีนั้น หรือ ไปทานที่ร้านนั่น  ส่วนบางคนได้แต่ตั้งใจว่าวันหนึ่งหากมีเวลาจะทำ หรือ จะไปร้านนั้นให้ได้เพื่อลิ้มรสความอร่อย   ดังนั้นจากการดูรายการทำให้ทุกคนรู้แล้วว่าทำอาหารนั้นได้อย่างไร หรือร้านที่อร่อยอยู่ที่ไหน แต่ยังไงๆก็ไม่ได้ลิ้มรสความอร่อยนั้น จริงๆแล้วความรู้สึกอร่อยนั้นก็เพียงได้จากพิธีกรบอกกล่าว ไม่ว่ายังไงสุดท้ายเราก็ยังไม่รู้เพราะไม่ได้ลิ้มรสความอร่อยนั้นจริงๆ...

... ความรู้สึกอยากได้ลิ้มรสความอร่อยของอาหารเหล่านั้นเกิดจากการได้ยิน มองเห็น  และก็เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ   แต่ไม่เคยได้รู้สึกจากการไปลิ้มลองเลยว่าที่เขาพูดว่าอร่อยแล้ว แล้วเรารู้สึกว่าน่าอร่อย แท้จริงมันมีรสชาติเป็นยังไง ??  มันก็เหมือนกับเรื่องของความสุข ที่ทุกคนแสวงหา อ่านจากที่ต่างๆ บางคนคิดว่าแบบนี้ล่ะสุขแล้ว ใช่เลย ! บางคนบอกว่านั่นเป็นสุขหยาบ ไม่จีรัง  บางคนต้องมีพิธีการมากมายกว่าจะได้สุขนั้นมา  แล้ววันหนึ่งก็รู้ว่าที่แท้ยังอยู่กับทุกข์มาตลอด ... ดังนั้นเหมือนกับที่เราได้ดูรายการอาหาร รับรู้ว่าอร่อยเพราะเขาบอก รับรู้ว่าอะไรคือความสุข เพราะเขาเขียนไว้ แต่จะรู้สึกอร่อยด้วยตัวเอง ต้องได้รับประทานอาหารนั้นเอง หรือการเกิดสุข หรือ รู้สึกสุข ต้องปฏิบัติด้วยตัวเอง  หลายๆคนที่เป็นอยู่ในสังคมตอนนี้เหมือนการไขว่คว้าความสุขกลางอากาศ เมื่อมีอะไรมากระทบ โบกเบาๆสิ่งนั้นก็หายไป แต่หากเราได้พบกับเส้นทางการปฏิบัติที่ถูกต้อง ได้รับรู้ความสุข รู้สึกสุข สุขที่สงบ ปิติสุข  แม้ระดับพื้นฐาน แต่มันพอที่จะให้ชีวิตเราอยู่ได้อย่างไม่รู้สึกหนัก และไม่กระเทือนหากมีสิ่งมากระทบกระทั่ง จะเบาสบาย ในท่ามกลาง และอยู่อย่างไม่ร้อนรน และดำเนินชีวิตไปในเส้นทางที่พอเพียง เพียงพอที่จะให้กับส่วนรวม มากกว่าการแสวงหาใส่ตัวไม่จบสิ้น


 ดังนั้นหากใคร เคยอ่าน เคยรู้ เคยคิดว่าเข้าใจเรื่องความสุขมากพอล่ะก็ ควรหยุดหาได้แล้วจ๊ะ  คงต้องหันมาพิจารณาตัวเองเนืองๆว่า สุขที่รับ สุขที่เข้าใจ สุขที่เป็นอยู่นั้น อยู่กลางอากาศหรือไม่ หรือตอนนี้มันอยู่ในใจเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่ว่ารอบนอกจะวุ่นวายอย่างไร เราก็สุขสงบได้ในท่ามกลางและเหลือเผื่อแผ่ไปยังรอบๆได้ด้วย แล้วปิติสุข สุขที่สงบ จะเยือกเย็นกว่าที่ได้จากการอ่านจริงๆค่ะ

ลองหาเวลาอยู่กับตัวเองนิ่งๆ ใคร่ครวญพิจารณา มามองดูสิ่งที่กำลังหา สิ่งที่กำลังเป็น สิ่งที่กำลังทำ และสิ่งที่ได้มาแล้ว ว่าช่วยสร้างสุขได้มากและจีรังเพียงใด หากคำตอบคือ" ไม่ "แล้วล่ะก็ ....

ไม่ต้องวิ่งตามหาสุขจากที่ไหนอีกแล้ว เพราะแท้จริงมันอยู่ในใจเรา เพียงแต่หยุดวิ่งหาสิ่งที่คิดว่าจะนำมาซึ่งสุขรอบตัวให้น้อยลง แล้วแบ่งมาให้เวลากับการฝึกฝนจิตให้กระเพื่อมน้อยลง โดยอ่านหนังสือธรรมะเพื่อทำความเข้าใจให้เกิดขึ้น สวดมนต์ก่อนนอน ฝึกสมาธิให้จิตนิ่ง สนทนาธรรมให้เกิดปัญญา ทำเถอะนะ ค่อยๆเริ่ม แล้ววันหนึ่งจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดกับชีวิต เมื่อจิตกระเพื่อมน้อยลง มันจะใสเย็นขึ้น จนพบสุขที่อยู่ในใจ ลองดูนะคะ เพราะ สุขที่สงบ เป็นความรู้สึกในใจที่เบาสบาย จริงๆค่ะ :)