Tuesday, 18 September 2012

ภาพชีวิต..ข้อคิดสังคม


ตอนเช้าตรู่หากใครผ่านถนนสายนี้ในบริเวณไกล้มหาวิทยาลัยที่ meepole ทำงาน ซึ่งเป็นถนนเส้นหลัก ในช่วงไกล้ 7.00 น. การจราจรคับคั่งเพราะเป็นช่วงเวลาเข้าโรงเรียน ก็จะเห็นภาพนี้ เป็นประจำ..... ยายแก่ๆคนหนึ่ง เข็นรถเข็นที่มีถังพลาสติกเปล่า 2-3 ใบ ในถังมีเศษผ้าขี้ริ้ว บางครั้งจะมีผลไม้ติดมาด้วยเช่น กล้วย มะละกอ และหน้ารถจะมีเด็กชายคนหนึ่งที่ไม่เด็กนักแต่งชุดนักเรียนนั่งเฉยๆอยู่ข้างหน้า ทราบว่าเรียนชั้นประถมปีที่ 6 ก็น่าจะอายุ 13-14 ปี แต่ตัวโต



ภาพนี้ถ่ายผ่านกระจกรถขณะรถแล่นอยู่เห็นปุ๊ปสะกิดใจมาก เลยไปจอดรอข้างหน้าเพื่อเก็บภาพจึงได้ภาพบน ปรากฎว่ายายไม่เลี้ยวเข้าซอย กลับเข็นรถเข็นเลยไปทางถนนสายหลัก แต่เป็นทางชันขึ้นเล็กน้อย และเป็นทางแยกไฟแดง ยายก็ต้องรีบเข็นกลัวไฟเขียว (ภาพล่าง)



ภาพล่าง ยายเข็นถึงทางเข้าโรงเรียนด้านหน้า วางพักรถเข็นเพื่อให้หลานชายตัวโตลง ยายนั่งพักเหนื่อย หลานสะพายกระเป๋าแล้วเดินเข้าโรงเรียนเลย ไม่มีการแสดงความขอบคุณหรือยกมือไหว้ยาย


 
 
เมื่อหลานเดินเข้าโรงเรียนแล้วยายนั่งพักเหนื่อยอยู่ครู่หนึ่ง แล้วลุกขึ้นจัดของ ที่ไม่มีอะไรนอกจากเลื่อนกล้วยเครือนั้น meepole ก็เดินลงไปทักทายและถามยายว่ากล้วยนั้นขายไหม จริงๆแล้วไม่ตั้งใจว่าจะได้กล้วยนั้นเพราะไม่ค่อยทานกล้วยนี้ ชอบกล้วยเล็บมือนาง แต่สงสารยาย ยายน่ารัก ถามกลับว่าจะเอาเหรอ meepole บอกเอาจ๊ะ ยายบอกว่าเดี๋ยวเอาหวีอื่นนะสวย กว่านี้แล้วก็หยิบกล้วยหวีที่ meepole มองไม่เห็นจากหลังถังมาให้ meepole ก็ถามว่ากี่บาทยาย ยายตอบคำที่ให้ความรู้สึกโดนใจมากว่า "ยายไม่ได้ซื้อมา ตัดมาจากต้นหลังวัด" meepole บอกว่าไม่เป็นไรยายคิดมาก็แล้วกัน ยายบอกว่าขายถูกๆนะ 10 บาทก็พอ meepole ให้ยายไป 20 บอกไม่ต้องทอน แล้วคุยถามยายว่าทำไมยายไม่ให้หลานช่วยเข็นรถ เพราะเขาโตแล้ว ยายตอบแบบคนรักหลานบอกว่า "ให้เขานั่งถ่วงรถ"  เลยเป็นงงๆ ว่าทำไมต้องถ่วงเพราะไม่มีของหนักบนรถนอกจากหลานของยาย แต่คิดแล้วก็เฮ้อ! กรรมเป็นของใครก็ของคนนั้น ก็ไม่ซักถามอะไรต่อไป เพียงแต่เกิดความรู้สึกหลายอย่าง...แล้วถามว่ายายไปไหนต่อ ยายตอบว่าไปรับจ้างเขาเช็ดล้าง แล้วแต่เขาจ้าง เลยไม่สงสัยว่าทำไมยายต้องมีถังและผ้าขี้ริ้ว



แต่สิ่งแรกที่เข้ามาในใจคือ นี่คือความรักหลานหรือทำร้ายหลานกันแน่ แม้ทำโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ...โรงเรียน คุณครูเคยสอนเด็กให้มีสำนึก ช่วยเหลือผู้สูงอายุ มีน้ำใจ มีสัมมาคารวะ หรือไม่ เป็นไปไม่ได้ที่ครูในโรงเรียนจะไม่เคยเห็นภาพนี้ เพราะปัจจุบันนี้ครูต้องมายืนตอนเช้ารับเด็กแถวหน้าโรงเรียน  meepole มองว่าการศึกษากำลังสอนอะไร หรือไม่ได้สอนอะไรอะไร   ทำให้เด็กสามารถนั่งรถให้ยายเข็นได้อย่างไม่รู้สึกอะไรหรือสงสารเห็นใจยายที่สูงวัยแล้ว เพราะวันถัดมา meepole ติดตามดูอีก มาทันเห็นภาพสะเทือนใจอีก เพราะเห็นยายนั่งพักที่ข้างฟุตบาทก่อนถึงทางแยกและหลานชายก็นั่งแถวนั้น เลยรู้เพิ่มว่ายายมีการนั่งพักเหนื่อยระหว่างทาง เราขับรถเลยเข้ามหาวิทยาลัยก่อน แล้วรีบออกมา วันนี้ยายเข็นรถเข้ามาถนนซอยเข้าด้านข้างของโรงเรียน เพราะตอนนั้นทางตรงไฟเขียวรถเลี้ยว และตรงออกไปตลอด ยายจึงเลี้ยวแทนที่จะตรง meepole กลับออกมาเห็น เลยจอดต่อคิวเพราะรถติดยาว ก็ทันเห็นยายกำลังออกแรงเข็นจนหลังแอ่นสุดแขน เพราะทางถนนด้านข้างโรงเรียนนี้เป็นทางชันขึ้น เลยเข็นหนัก meepole เห็นเด็กชายคนนั้นนั่งหน้ารถหน้านิ่วคิ้วขมวด ปากพูดอะไรขมุบขมิบเหมือนดุอะไรยาย แต่ที่รับไม่ได้คือทำไมเขาไม่ลงมาจากรถแล้วช่วยยายเข็น หรือถ้าไม่ช่วยก็แค่ลงจากรถให้รถเข็นเบาก็พอ

นี่เป็นแค่ภาพสะท้อนของครอบครัวหนึ่ง ที่พยายามจะให้ความสบายกับหลาน คนมีเงินมีรถจักรยานยนต์ รถยนต์ หรือนั่งรถประจำทางว่ากันตามกำลังมาส่ง คนจนก็อยากให้ลูกหลานสบายเข็นรถให้นั่ง ถ้าเป็นเด็กเล็ก เด็กอนุบาลก็เข้าใจ..แต่นี่เด็กโตพอที่สามารถช่วยพ่อแม่ทำงานได้แล้ว ช่วยดูแลยายได้แล้ว ....หากโรงเรียน คุณครูช่วยเอาใจใส่อบรมสอนเด็กให้มีสำนึก รู้จักการมีน้ำใจ มีความรักเอื้ออาทร ภาพนี้ก็คงไม่น่าจะเห็น...

สังคมเราปัจจุบันไม่ว่ารวยจน ไม่ค่อยมีเวลาอบรมสั่งสอนลูก แต่ให้เพื่อน ให้คอมพิวเตอร์เกม ให้สังคมเทียมในเฟสบุ๊คช่วยเลี้ยงลูกหลาน จนตอนนี้ความสัมพันธ์เยื่อใยในครอบครัวที่มีต่อกันลดน้อยลง หรือแทบไม่มีเลย  ..ในบางครอบครัว ทุกคนต่างคนต่างอยู่ทำมาหากิน บ้างก็อ้างหาเงินให้ลูก จนไม่มีเวลาของครอบครัว กว่าจะรู้ว่าครอบครัวไม่เหลือเยื่อใยกันแล้ว จิตกระด้างไปหมด สายเสียแล้วที่จะมีความรู้สึกอบอุ่น เข้าใจกัน จึงมีข่าวลูกทำร้ายบุพการี บุพการีทำร้ายลูกหลาน ให้เห็นตามข่าวแล้วก็เศร้า โทษใครได้นอกจากคนในครอบครัวที่รักเป็นพิษ รักลูกผิดทาง รักตัวเอง แล้วอ้างทำเพื่อลูก สะสมเงินจนลืมสะสมรักและความอบอุ่นที่ต้องมีให้กัน สุดท้ายสิ่งที่ทำมาทั้งหมดในวิถีที่ไม่ถูกต้อง ก็เป็นอันต้องพบจุดจบที่ไม่พึงประสงค์ หรือพบทุกข์ในที่สุด

มาเพิ่มเติมเพราะมีอจ.น้องในมหาวิทยาลัยมาถามข่าวว่า ยายคนนั้นยังอยู่ไหม..ตอนนั้นไม่เห็นยายมาเป็นเวลานานมากหลายเดือนทีเดียว จนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วบังเอิญใช้เส้นทางลัดข้างวัดเพื่อเข้าไปยังมหาวิทยาลัยอีกแห่ง เห็นยายมากับหลาน ดีใจทียังแข็งแรง เพราะเห็นยายก้มหลังโค้งเข็นรถเอง หลานชายเดินตัวตรงสูงสง่า ข้างๆยาย แต่ไม่ใส่ชุดนักเรียน อาจจะไม่ได้เรียนแล้ว หวังว่าวันหนึ่งคงจะได้เจออีกและเห็นหลานช่วยยายเข็นรถ หรือเข็นรถให้ยายได้นั่งพักบ้าง.....15 Nov

Saturday, 8 September 2012

วัดถ้ำทองพรรณรา

ไปถ้ำพรรณรา มีโอกาสอย่าพลาดไปกราบพระ
 
 ด้านหน้าถ้ำ

 

ไปวัดถ้ำทองพรรณรา อ.ถ้ำพรรณรา จ.นครศรีธรรมราช ในพิธีวางศิลาฤกษ์ พระอุโบสถวัด ดีใจมากที่มีโอกาสได้ไป เพราะเคยผ่านอำเภอนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแต่ไม่ได้มีโอกาสแวะเข้าไปและไม่ทราบว่ามีวัดนี้ ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสที่โชคดีที่ได้ไป เพราะท่านเจ้าคณะภาค 16 ไปเป็นประธานฝ่ายสงฆ์  พระอาจารย์ไปถึงก่อนเวลามาก เราและ link เลยได้โอกาสเดินชมถ้ำในวัด ไม่ได้คิดอะไรมาก ก็คิดว่าเหมือนถ้ำทั่วๆไป ........
 
เดินไปตามทางมองสะดุดกับภาพที่เห็น เป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่มาก ปางไสยาสน์ งามมากผิดจากที่เคยเห็นๆมา โดยเฉพาะพระพักตร์ที่อิ่มเอิบ  ที่เขียนไว้บนป้ายที่ลบเลือนเต็มที อ่านได้พอเห็น ว่าสร้างเมื่อพ.ศ.1300 เสร็จเมื่อพ.ศ.1316 บูรณะเมื่อพ.ศ. 2530 พระพุทธรูปประดิษฐานบนลานกว้างที่วัดสร้างไว้ในช่องหินของส่วนล่างถ้ำ 
 
งามมาก
 
 
 link  ช่วยกวาดลานด้านหน้าองค์พระเพราะใบไม้หล่นมากพอควร สักครู่มีคนมาช่วยกวาดเพิ่ม กวาดเสร็จก็เริ่มสำรวจถ้ำ ปีนขึ้นไปเรื่อยๆ มีกระไดให้ไต่แต่ละขั้นสูงต่ำไม่เท่ากัน ทางเดินขึ้นบางช่วงธรรมชาติมากจน...บรื๋อ เงียบวังเวง  โชคดีตอนขึ้นไป มีคนตามมา 2 คนเลยทำให้ลดความกลัวไปได้บ้าง
 
ข้างบนมีถ้ำสองช่วง ช่วงแรกเป็นถ้ำปู่ฤษี มืดมาก ภาพนี้เอาไฟจากโทรศัพท์ส่องแล้วถ่าย (ขออนุญาตแล้ว หุ หุ) (วันที่ไปไม่ได้เอากล้องถ่ายรูปไปเพราะไม่รู้มาก่อนว่าจะไปที่วัดที่มีถ้ำ ภาพเหล่านี้ได้จากใช้โทรศัพท์ถ่าย)  
มีทางราบช่วงสั้นๆให้เดินพัก                                        พ่อปู่ฤษี
 
สภาพเป็นธรรมชาติหินงอกหินย้อยสวยงาม
ช่วงทางแคบขึ้นต่อไปอีก และหลังจากนี้จะเริ่มดิ่งลง


นี่เป็นถ้ำช่วงสุดท้ายที่ดิ่งลงไปชันมาก ช่วงนี้กระไดก้าวละฟุต
 


มุมเงยที่สูงชันขึ้นไป
ช่วงท้ายสุด meepole ไม่ได้ลงไปยืนดูลุ้นคนลงเพราะชันมาก เป็นถ้ำช่วงสุดท้าย ดิ่งลงไปเรื่อยๆ
สำรวจเสร็จสรุปแต่ละช่วงกระไดตอนแรกมี 43 ขั้น ช่วงยาวมีเป็นร้อยขั้น link ขยันนับจำนวนกระไดได้จนครบ 397 ขั้น ตกลงขึ้นลงได้ 794 ขั้น ตอนขาลงต้องพักมากกว่าตอนขึ้นเพราะช่วงกระไดที่ตื้นมากทำให้ก้าวลงไม่เต็มที่เข่าย่อมากจนเจ็บเข่า เลยบางช่วงต้องเดินลงแบบปูคือเดินเอาด้านข้างลง :)
 
ช่วงขึ้น-ลงที่ยาวไกล
ช่วงขาลงมาถ่ายไม่ทราบว่าเป็นใคร แต่มือถือหอยสังข์ ยืนสง่าบนหน้าผา
อันนี้ขณะถ่ายขาสั่นเสียวสันหลัง

 
โชคดีมากที่ได้มากราบพระพุทธรูป ได้มาเห็นสถานที่สงบร่มเย็น ลงมาก็ได้ยินประกาศจากพิธีกรว่าจะเริ่มพิธีวางศิลาฤกษ์ และสักครู่เสียงประทัดดังตูมตามๆ เดินไปดูเห็นคนมุงกันแวะเข้าไปเห็นสองจุด จุดหนึ่งคนมุงกันเอาเหรียญใส่ในแท่นศิลา อีกจุดมุงดูเลขจากหางประทัด เพราะวันที่ไปลอตเตอรี่ออกพอดี
 


เลขเด็ดที่ชาวบ้านมามุงกัน
 
 (แอบทราบจากพลขับที่ถูก กินเรียบว่าออกไม่ตรง งวดนั้นออก 967 นี่แหละน้า เชื่อกระทั่งหางประทัด หุ หุ)
 
 
ศรัทธาจากพุทธศาสนิกชน

meepole ได้ร่วมทำบุญในการสร้างพระอุโบสถใหม่ครั้งนี้ด้วย  อนุโมทนาสาธุร่วมกัน และ meepole จะกลับไปอีกเพราะยังขาดอีกประมาณ 30 ขั้นช่วงท้ายสุดที่จะลงไปในถ้ำใหญ่ สรุปว่าต้องไต่กระไดอีกครั้ง 300 กว่าขั้น เพื่อ 30 ขั้นสุดท้ายไม่งั้นแก่กว่านี้ อาจต้องรออีกวันจึงไต่กลับออกลงมาถึงข้างล่าง  สังขารหนอ :)
 

Sunday, 2 September 2012

ชาบู.. 2

"ชาบู" เพื่อนสุดรัก my best friend
 
ชาบูชอบท่องโก๋


"chabu"  my best friend

 
ชาบูและเพื่อนร่วมบ้าน

ช่วงที่ชาบูไม่สบาย ตั้งแต่ 30 กรกฏาคม 2555 เป็นๆหายๆ หาหมอ 3 ราย ไม่ได้ตั้งใจจะเปลี่ยนหมอ แต่ด้วยความจำเป็นที่หมอรายแรกไม่เอาใจใส่ เอารูปถ่ายอาเจียนสีเหลืองอ๋อยไปให้ดู กลับบอกว่าให้มันอาเจียนบ้างก็ได้  ทั้งๆที่เวลาหมาเราหรือหมาของวัดป่วยก็เอามาให้ที่นี่ดูแล จ่ายไม่อั้นทุกอย่างเสนออะไรดีเอาหมด ชาบูเป็นหมาไม่ค่อยป่วย เคยป่วยครั้งที่เห็นว่าป่วยก็เกือบปีที่เป็นโรคตับรักษากับหมอ CK เช่นกันจนหายดี หลังจากนั้นก็ระวังไม่ให้เขาโดนเห็บหมัดกัดเท่าที่ทำได้ ..........กับหมอรายนี้เราสังเกตเห็นหลายครั้งแล้วเวลาพา yiching,  larna, pote, chabu etc. ไปหา หากเราพูดสังเกตุอะไรเพื่อตั้งคำถามเกี่ยวกับหมา เขาจะบริการอย่างรวดเร็วมาก เช่นเห็นชาบูสะบัดหูบ่อยๆ ไม่แน่ใจว่ามีอะไรในหู เพราะเท่าที่ตรวจดูเองก็ไม่มีอะไร เท่านั้นเองหมอจะไปหยิบยาหยอดหูเปิดฝาบริการหยอดให้ดูทันที  แล้วก็คิดเงิน เคยบอกชาบูและ yiching มีขี้ตาทุกเช้า บางวันมาก อุ้ม yiching ไปให้ดู ก็เร็วทันใจเดินไปหยิบยาหยอดตา บอกว่าเป็นเชื้อ...เปิดฝาบีบคิดเงิน หลอดละ 900 บาท ได้ทั้ง 2 ตัว 1800 บาท เราไม่ว่าอะไร หากเขาหาย  ล่าสุดขายยาหยอดเห็บหมัด ยาปกติที่ใช้จะหลอดละ 50 บาท 1 ml ถ้า 2 ml ตัวใหญ่ก็ 80-100 บาท ของที่นี่พิเศษ เพราะบอกว่าของแท้ 200 กว่าบาท เราก็จ่ายอยากให้เป็นอันตรายน้อย  ครั้งนี้เห็นความไม่เอาใจใส่ต่อชาบูทำให้เรารู้สึกมากทีเดียวว่า "นี่เขาเป็นสัตวแพทย์ ความอ่อนโยน เมตตาที่ต้องมีในพื้นฐานจิตใจระดับปกติของผู้เป็นหมอไปไหน  ความสำนึกรับผิดชอบเอาใจใส่ที่ควรต้องมีต่อคนไข้ของเขาไปไหน ความเข้าใจเห็นอกเห็นใจในเจ้าของของสัตว์เลี้ยงที่เขารักนั้นไปไหน" เขาน่าจะรู้ว่าเจ้าของสัตว์เลี้ยงยอมจ่ายทุกบาททุกสตางค์แพงเท่าไหร่ไม่ว่าขอให้สัตว์เลี้ยงที่รักมีความสุข หายป่วยโดยเร็ว.......

..meepole จึงเปลี่ยนต้องพาไปรพ.เมื่อชาบูมีอาการป่วยไม่มีแรงล่าสุดในวันอาทิตย์ที่สัตว์แพทย์ส่วนมากปิด จึงต้องพาไปรพ.สัตว์เอกชน ให้น้ำเกลือ เจาะเลือด ให้ยามามากมาย ไม่เห็นอาการดีขึ้นนอกจากทรมานจากการกินยา เขาต้องการให้ชาบูอยู่รพ.4-5 วัน แต่meepole รู้ว่าทรมานใจชาบูเพราะเขาย่อมไม่อยากอยู่เพราะบริเวณที่เขาเก็บหมาหลังคลีนิก อับเหม็นและร้อน กรงก็เล็ก ไม่รู้เหมือนกันว่าการตั้งเป็นโรงพยาบาลสัตว์ต้องมีเงื่อนไข การควบคุมคุณภาพหรือไม่ หากไม่มีอะไรเลย จะต่างอย่างไรกับคลีนิก เพราะที่เห็นนี่คลีนิกของบางแห่งดีกว่ารพ.ที่พาไป ชาบูไม่เคยอยู่กรงตั้งแต่เด็ก ที่นี่ชาบูอยู่หนึ่งคืนครึ่งวัน ค่ายาและค่าใช้จ่ายรวม 3800 บาท และต้องพาเขาไปเจาะเลือดอีกครั้ง เลยพาไปหาหมอที่เคยพาชาบูไปฉีดวัคซีนประจำปี
 

ชาบูในคืนสุดท้าย

หมอรายที่สามนี้ใครๆก็ยอมรับว่าค่อนข้างแพง แต่มียาดีๆ มีเครื่องมือที่ใช้ตรวจค่อนข้างทันสมัย และอย่างน้อยก็เป็นลูกศิษย์ meepole (แม้ว่าเคยละเลยหมาของวัดทีใกล้คลอดจนตายทั้งแม่ลูกไป 8 ตัว) meepole เลยไม่ไปหาเป็นปีแล้วเพราะยังเสียความรู้สึกและเสียใจ แต่ครั้งนี้เพราะเป็นห่วงชาบูมากเลยต้องไป และก็ได้เจาะเลือด x-ray ให้ยาที่แพงๆแต่บอกว่าคาดว่าจะทำให้ดีขึ้นเพราะคาดว่าเป็นโรคตั้งแต่ติดเชื้อจนถึงมะเร็งน้ำเหลืองบ้าง ปอดบ้าง คาดการณ์ไม่แน่ชัด meepole บอกหมอว่ารักษาให้ดีที่สุด แต่หากคิดว่าเขาไม่รอดก็ขออย่าให้พยายาม up ยาเขาเลย เพราะเห็นแล้วทรมานเขามาก เขาก็บอกว่าทดลองให้ยาที่คิดว่าดีมากคือ Antitirobe (clindamycin hydrochloride liquid)  ขวดละ 340 บาท ปริมาณ 20ml ชาบูได้มา 2 ขวด มียาปฎิชีวนะหลอดเป็นครีมสีน้ำตาล อาหารเหลว veterinary diet- recovery กระป๋องละ 145 บาท  195 g มียาเม็ดอีก 3 ขนาน  ไปหา 4 ครั้งใน 2 week เพราะไปตามนัด 3-4 วันครั้ง มียาฉีดด้วย

ชาบูอดทนมาก meepole รู้ว่าเขาคงเจ็บเพราะตอนอุ้มบางครั้งหากไปถูกบางจุดชาบูคงเจ็บจึงร้องซึ่งปกติชาบูที่อยู่กันมาแทบจะไม่ได้ยินเสียงร้องของเขาเลย เขาเป็นหมาที่อดทนมากจริงๆ เวลาพาชาบูไปร้านหมอชาบูจะไม่เคยกลัวหมอจะเห่านำทุกครั้งเมื่อเข้าร้าน ไปตัดขนก็เห่าก่อน จนหมอและคนในร้านพูดเลยว่าชาบูมาแล้ว เพราะส่วนมากหมาเข้าร้านหมอจะเงียบบางตัวกลัวด้วยซ้ำ ........

ขณะเขียนตอนที่ 1 ชาบูมีอาการทรง คือกินน้อย เดินน้อยลง ขับถ่ายน้อยลง การหายใจลำบากขึ้น นอนมากขึ้น แต่รับรู้ทุกอย่างเวลาพูดด้วย เดินไปไหนนานๆ ชาบูจะลุกเดินตามไป จนต้องบอกว่าชาบูไม่ต้องตาม  meepole ถามหมอว่ารักษาอย่างดี เขาจะอยู่ได้อีกสัก 5 ปีไหม หมอก็ยิ้ม ว่าต้องดูอาการตอบสนองยา meepole ก็บอกว่าทำให้ดีที่สุดแต่หากหมอรู้ว่าไม่ไหว ขอให้เขาได้อยู่อย่างสบาย อย่าทรมานด้วยยา เพราะเหมือนคนที่หากรู้ว่าไม่รอดก็ไม่ต้องฉีดคีโมขอให้ชีวิตที่เหลือไม่ทรมานจากผลของยา สองวันหลังชาบูไม่ถ่าย ไม่กิน meepole พยายามหาของทุกอย่างที่ชาบูชอบมาให้เขาก็พยายามแต่สังเกตเห็นว่าการกลืนมีปัญหา คาดเดาว่าทำให้เขาไม่กิน การหายใจแย่ลง แต่ชาบูยังคงมานอนข้าง meepole ข้างโต๊ะทำงานตลอดเวลา คืนวันที่ 27 สค. ตั้งใจว่าจะพาชาบูไปหาหมอ บอกชาบูว่าพรุ่งนี้จะพาไปหาหมออีกเพราะสังเกตเห็นชาบูกลืนลำบาก กระทั่งยาน้ำที่ป้อนให้ เลยหยุดป้อน

meepole จะนั่งทำงานที่ชั้นล่างจนดึกเสมอเพื่ออยู่เป็นเพื่อนชาบู เป็นเช่นนี้ตลอดมาหลายปี ทุกคืนจะบอกว่า "ชาบูม่ามี้ไปนอนแล้วนะ พรุ่งนี้จะพาชาบูไป driveๆๆ" (นั่งรถเที่ยว) ชาบูชอบมากจะกระดิกหางรับ และ"ไปหาพี่ วาวา" (พี่หมาที่ชาบูสนิทมากตั้งแต่เด็กอยู่กับพระอาจารย์) ชาบูจะกระดิกหาง  "พรุ่งนี้เจอกันนะชาบู" นี่คือคำพูดที่พูดกะชาบูเกือบ 4 ปี  หากไปต่างจังหวัดจะโทรศัพท์มาแล้วให้ link (สามี) ส่งแนบหูชาบู แล้วพูดกะชาบูว่า "คิดถึงนะชาบู" สุดท้ายที่ชาบูป่วย จะบอกชาบูเพิ่มขึ้นว่า ”ชาบูม่ามี้รักชาบู รักมากนะ ชาบูรักม่ามี้ชิมิชิมิ เรารักกันนะ เรารักกัน" แล้วก็จะกอดเขา  ตอนป้อนยาจะบอกว่า “ชาบูต้องอดทนกินยานะ จะได้อยู่กะม่ามี้นานๆ กินยาให้ม่ามี้ ให้ปู่ ให้ปู่ปู๊นะ” ทุกอิริยาบทชาบูจะรับรู้จากสายตาที่ส่งมา

เช้าวันที่ 28 สิงหาคม 06.30 meepole ลงมาเห็นชาบูนอนตะแคง เอะใจเพราะไม่มีการกระดิกหางเหมือนทุกครั้ง เรียกชื่อ "ชาบูๆๆๆ บ๊ะบู๋" ลงมาจับตัวเขา ยังอุ่นแต่ไม่หายใจ วิ่งขึ้นไปตาม link ลงมาตรวจดู จนเขาแน่ใจบอก meepole ว่าชาบูไปแล้ว meepole ร้องให้ด้วยความอาลัยถึง เพื่อน มิตรแท้ที่ดีที่สุด บริสุทธิ์ ซื่อสัตย์ จริงใจ ไม่มีพิษภัยใดๆ ไม่โกหก ต่อแต่นี้ไม่มีแล้ว…. Link ทำความ (ผ้าเช็ดตัวในชุดสังฆทานให้ชาบู) สะอาดตัวชาบู เช็ดตัวชาบูให้สะอาด ใส่ใบชาหอมมะลิให้ เอาหมอนข้างที่ชาบูชอบคาบไปมา นอนหนุน ให้ชาบูกอด โรยดอกพุดสีขาวที่มีในสวนให้ แล้วห่อด้วยผ้าที่พระอาจารย์ให้มาล่วงหน้า (ซึ่งชาบูใช้นอนหนุน)  หลังจากนั้นทำสังฆทานให้ ช่วงบ่ายพระอาจารย์มารับชาบูไปฝังที่สวนในกุฎิด้านหน้า meepole และ link ตามไปด้วย ให้น้าหลวงจัดมาบังสุกุลให้
 
ชาบูและบ๊องแบ้ว เพื่อนตุ๊กตาของชาบูที่คาบไปมาและชาบูหวงมาก


ทำบังสุกุลให้ชาบู

link กรวดน้ำอุทิศผลบุญให้ชาบู หลับให้สบายนะลูกรัก

เราไม่อยู่ดูตอนกลบดิน รับรู้ถึง "ทุกข์" เมื่อที่สิ่งที่รักมากพรากจากไป โดยเฉพาะรักที่เป็นรักแบบไม่ต้องการอะไรตอบแทน ชาบูรัก meepole และ meepole รักชาบู เป็นรักที่เข้าใจกันมากมองตาก็รู้ใจเสมอ เพราะทุกครั้งมองตาของ meepole ชาบูเขาจะรู้เสมอว่าต้องเดินไปนอนที่ใต้โต๊ะ ขยับนิ้วไปซ้ายขวาเบาๆก็รู้ว่า no พยักหน้ามองตาก็รู้ว่าเข้าบ้านได้ ถ้าขาสกปรกก็จะบอกว่าเช็ดขา ก็จะนอนลงหงายท้องให้เช็ดขา ถ้าขาสกปรกแบบแอบเดินเข้ามาก็จะถามเขาเบาๆเสียงต่ำๆว่า “บูรอยเท้าใคร” ชาบูก็หงายท้องทันที

...สิ่งที่ชาบูเหลือไว้คือความทรงจำที่อยู่ในใจ ความรัก มิตรภาพที่จะไม่มีวันลืมเลือน  ชาบูทำให้รู้ว่ารักที่บริสุทธิ์และรักที่แท้จริง..คือความรู้สึกเช่นใด


 
จนกว่าจะพบกันอีกในภพใดๆ นะชาบู