Saturday 24 September 2011

พระไตรปิฎก ฉบับที่ทำให้ง่ายแล้ว


ช่วงนี้ได้หนังสือดีๆมารอตั้งอ่านมากมาย เสียดายเทคโนโลยีสมัยใหม่ถ้าสามารถ download เสียบปลั๊กต่อหนังสือเข้าสมองได้ทันทีเหมือน save ใน computer ก็ดีนะ วันๆคงได้ความรู้จุใจ สมองอืดแน่ หุหุ เมื่อวานเดินทางเลยอ่านหนังสือเล่มหนาสุดก่อนคือ "พระไตรปิฎก ฉบับที่ทำให้ง่ายแล้ว" โดยอาจารย์วศิน อินทสระ เป็นผู้เรียบเรียง เคยอ่านข้อเขียนของอาจารย์เล่มแรกคือเรื่องหลักกรรมและการเวียนว่ายตายเกิด ที่อ.ชลอ วิเศษเสนีย์ท่านให้ มา 20 กว่าปีแล้ว (ตอน meepole เรียน ป.โท) ยังเก็บวางอยู่ในที่ๆหยิบอ่านทวนได้ตลอดเวลา พระไตรปิฎกเล่มนี้มีผู้มอบให้พระอาจารย์ ท่านเลยให้มาอ่านเพื่อให้เกิดปัญญาเพิ่มขึ้น อ่านแล้วได้ความรู้ ข้อคิดดีๆมากมาย บางข้อสงสัยที่คลุมเครือก็กระจ่างขึ้น จึงตั้งใจว่าจะเปิดอ่านทุกวันและเลือกที่ touch my heart และคิดว่าจะเกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวันหากนำไปเตือนสติเสมอๆ  แต่หลายเรื่องต้องอ่านรายละเอียดเอง ดังนั้นหากท่านใดที่เข้ามาอ่านในนี้ จะลองหาเล่มนี้มาอ่านก็จะกระจ่างในหลายเรื่องราว อาจารย์วศินได้เรียบเรียงพระไตรปิฎกอีกหลายเล่มก็เลยตั้งใจว่าจะซื้อมาไว้อ่านต่อให้ครบชุด เคยตั้งใจไว้เสมอว่าสักวันหนึ่งจะต้องอ่านพระไตรปิฎกให้จบให้ได้ แต่รู้ว่าอ่านเข้าใจไม่ง่ายนัก แต่เมื่อมีผู้นำมาเรียบเรียงเป็นฉบับที่ง่ายขึ้น และมาถึงมือได้โดยเมตตาพระอาจารย์ก็พลาดไม่ได้ต้องขัดเกลาปัญญาและจิตให้ดีขึ้น คงได้อ่านเป็นปี หุ หุ ฉบับที่อ่านนี้เป็นส่วนทีฆนิกายและมัชฌิมนิกาย



โสณทัณฑสูตร

ศีลช่วยให้ปัญญาบริสุทธิ์ ปัญญาช่วยให้ศีลบริสุทธิ์ 
 ศีลมีในบุคคลใด ปัญญาก็มีในบุคคลนั้น
 ปัญญามีในบุคคลใด ศีลก็มีในบุคคลนั้น
ปัญญาย่อมมีแก่บุคคลผู้มีศีล และศีลย่อมมีแก่บุคคลผู้มีปัญญา
 นักปราชญ์ย่อมกล่าวว่าศีลและปัญญาเป็นยอดในโลก


โสณทัณฑสูตรนี้แสดงให้เห็นความสำคัญของศีลและปัญญาว่าต้องอาศัยกัน

คนไม่มีศีลเปรียบเหมือนบ้านเรือนที่ไม่สะอาด
คนที่ขาดปัญญาเปรียบเหมือนบ้านเรือนที่ไม่มีแสงสว่าง

ศีลทำให้ กาย วาจา สะอาดหมดจด งดงาม สมาธิทำให้ใจสงบบริสุทธิ์ตั้งมั่น ปัญญาทำให้ใจสว่าง
รวมเป็น สะอาด สงบ สว่าง



วันนี้เริ่มเพียงนี้ก่อน หลายท่านอาจไปพ้นจากจุดนี้แล้ว ก็อนุโมทนาค่ะ อาจเอามะพร้าวมาขายสวน แต่ meepole ยังคงเตาะแตะ ต้องศึกษาอีกมากเลยเจ้าค่ะ

Thursday 22 September 2011

ใช้อุเบกขาให้ถูกต้อง: อุเบกขาไม่ไช่วางเฉย

ใช้อุเบกขาให้ถูกต้อง: อุเบกขาไม่ไช่วางเฉย


หลายๆเรื่องราวที่พบเห็น ได้ยิน รับรู้ ทั้งในที่ทำงานและในสังคมบ้านเมืองทำให้ต้องพยายามใช้หลักพุทธธรรม เพื่อค้ำจุนจิตใจไม่ให้หดหู่ เศร้าใจกับการกระทำที่เห็นแก่ผลประโยชน์ตนเป็นใหญ่ของคนผู้มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบต่อส่วนรวม สังคม  จนถึงต้องบอกตัวเองว่าใช้หลักอุเบกขา(Upekkha)ดีที่สุด

 ทุกเรื่องที่เกิดในที่ทำงานก็พยายามทำหน้าที่ดีที่สุดแล้ว ช่วยอธิบายสุดความสามารถ หลักเมตตา กรุณา มุทิตา ก็ได้ใช้หมดแล้ว หากยังไม่เข้าใจก็ต้องอุเบกขา ชีวิตเป็นของพวกเขา เราทำหน้าที่เหนือความรู้สึกไปแล้ว (ความรู้สึกนิสัยของ meepole คือไม่อยากเข้าไปยุ่ง รังเกียจการกระทำของพวกเขา แต่หน้าที่ครูคือต้องสอนให้รู้ถูก-ผิด ควร-ไม่ควร สำนึกเป็นของพวกเขา สงสารแต่อาจารย์รุ่นน้องที่เหนื่อยและทุ่มเท...แต่ก็ไม่เสียเปล่า บอกเขาว่าเพียงแค่เราคิดดี ทำดี ผลดีก็เกิดกับตัวเราแล้วทันที อย่าไปเสียใจกับการกระทำของพวกเขาเลย

ถึงตรงนี้ก็เลยนึกได้ว่า บางคนอาจเข้าใจว่า อุเบกขาคือการวางเฉย และคนส่วนมากก็มักพูดว่า "วางเฉยก็แล้วกัน ไม่ไช่เรื่องของเรา" นั่นยังใช้อุเบกขาผิดความหมายที่แท้

อุเบกขาไม่ไช่ความวางเฉย เพราะวางเฉยคือไม่สนใจ ไม่ยุ่งแม้เห็นผู้อื่นทุกข์หรือลำบาก วางเฉยแบบไม่แยแสหรือไม่รู้ไม่ชี้ ทั้งๆ ที่สามารถช่วยเหลือได้ เป็นต้น แต่อุเบกขา เกิดต่อเมื่อเราได้มีเมตตา กรุณา มุทิตาแล้ว เราจึงจะได้เข้าอุเบกขา

Upekkha  is definitely not indifference. Indifference is when we don't  really care; when we see others suffering and we say to ourselves,' "it's not my business, i can't get involve".

Upekkha arises in our hearts after arising of metta karuna mudita, only then do we sense the need for Upekkha or equanimity. Upekkha without metta karuna mudita is not true Upekkha


อุเบกขาที่ปราศจาก เมตตา กรุณา มุทิตานั้น จึงไม่ไช่อุเบกขาที่แท้จริง ในทางปฏิบัติต้องใช้หลักพรหมวิหารสี่ ทั้ง4 ประการไปด้วยกัน


ข้อความส่วนข้างล่างนี่จะสามารถใช้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ อุเบกขาได้ดียิ่งขึ้น ( meepole ได้เก็บบางส่วนมา ไม่ทราบที่มา แต่กุศลจากการที่มีประโยชน์ต่อส่วนรวม ก็บังเกิดแก่ผู้มีเมตตานั้นแล้ว)

..การที่เราจะพัฒนาอุเบกขาขึ้นในจิตใจได้ ต้องเข้าใจความจริงอย่างหนึ่งของชีวิต ว่าไม่มีใครหนีพ้นจากโลกธรรมแปด คือ
โลกธรรมแปดฝ่ายน่าปรารถนา ได้ลาภ ได้ยศ สรรเสริญ สุข
โลกธรรมแปดฝ่ายไม่น่าปรารถนา ได้แก่ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์
ต้องใช้สติปัญญา เข้าใจความเป็นไปของชีวิต ปล่อยวางได้ ทำใจได้ ไม่ทุกข์ใจ เอาใจใส่ และรับผิดชอบในชีวิตปัจจุบัน ทำทุกอย่างให้ดีที่สุดด้วยความพอใจ สงบใจ

ที่สุดของอุเบกขา คือไม่มีปฏิฆะ อันหมายถึง ความกระทบกระทั่งใจ ความหงุดหงิดขัดเคืองเกิดขึ้นในใจแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะมีเรื่องราวเดือดร้อน รุนแรงขนาดไหนเข้ามากระทบ ก็ทำใจปล่อยวางและสงบใจได้ อุเบกขาจึงถือเป็นคุณธรรมขั้นสูง อันเปี่ยมด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อย่างสมบูรณ์ในขณะเดียวกัน

พระธรรมกิตติวงศ์ ได้ให้ความหมายและลักษณะของผู้มีอุเบกขาไว้ดังนี้

ลักษณะของผู้มีอุเบกขา คือเป็นคนหนักแน่นมีสติอยู่เสมอ ไม่ดีใจไม่เสียใจจนเกินเหตุ เป็นคนยุติธรรม ยึดหลักความเป็นผู้ใหญ่ รักษาความเป็นกลางไว้ได้มั่นคงไม่เอนเอียงเข้าข้าง ปฏิบัติหน้าที่ด้วยเหตุผลถูกต้องคลองธรรม และเป็นผู้วางเฉยได้เมื่อไม่อาจประพฤติเมตตา กรุณา หรือมุทิตาได้

จากนี้ไปคงสามารถนำอุเบกขาที่ถูกต้องไปใช้และบอกต่อเพื่อเผยแพร่การประพฤติตามหลักธรรมให้ถูกต้อง แล้วอานิสงค์ที่เป็นความสุขที่สงบก็จะบังเกิดค่ะ :)

อ้างอิง
พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช) ป.ธ. ๙ ราชบัณฑิต พจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ ชุด คำวัด, วัดราชโอรสาราม กรุงเทพฯ พ.ศ. 2548.

ภิกษุณีธัมมนันทา  ทุกอย่างอยู่ที่ใจ บ.มอนิ่งกราฟ จำกัด  2549.

Monday 19 September 2011

จับถูกหรือยังเอ่ย ?


จับถูกหรือยังเอ่ย ?



ไปสวนนายดำ ที่ชุมพร เลยเอามาฝากค่ะ


ด้วยรักและปรารถนาดีต่อทุกท่านที่แวะเข้ามานะคะ :)

Friday 16 September 2011

ก้าวสู่ฝันหัวใจพบรัก

ก้าวสู่ฝันหัวใจพบรัก



ได้ดูภาพยนต์ฝรั่งผ่านดาวเทียมเรื่อง ก้าวสู่ฝันหัวใจพบรัก เป็นครั้งที่สอง ตั้งใจไว้แล้วว่าจะดูอีกครั้งเพราะครั้งแรกไม่ได้ตั้งใจดู เพราะคิดว่าเป็นหนังวัยรุ่นสาระน้อย เขียนหนังสือไปเงยดูเป็นช่วงๆ ครู่ใหญ่ก็ถึงประเด็นของเรื่องเลยสนใจติดตาม และก็โดนใจมากแบบ touch my heart เลยทีเดียว ได้ข้อคิดเล็กๆ เป็นระยะๆ แต่จริงๆแล้วเป็นเรื่องที่ต้องดูเองจะได้ความรู้สึกมากกว่าที่จะเขียนออกมาเป็นคำพูด หากใครสามารถหามาดูได้ก็ลองตามดูนะคะ สำหรับ meepole ได้รับสิ่งที่ทุกๆคนก็รู้กันดีอยู่

หากเรามี ความรัก  ศรัทธา  ให้อภัย ต่อกัน อะไรๆก็ทำได้หมด

หากเรามี ความรัก  ศรัทธา  เข้าใจ ในกันและกัน อะไรๆก็เป็นไปได้หมด

แต่ทั้งหมดต้องดูเองค่ะ :)

Wednesday 14 September 2011

my note: ทมะ ขันติ เมตตา อุเบกขา

ทมะ ขันติ  เมตตา อุเบกขา ๆๆๆๆ



3 วันที่สอบสัมมนานักศึกษาสิ่งแวดล้อมรุ่นที่กำลังจะจบ เป็นอะไรที่อาจารย์ทุกคนเหนื่อยมาก เครียด และผิดหวังในทุกอย่างของนศ.รุ่นนี้ อาจารย์ผู้หญิงสองคนเครียดมาก บอกเคยร้องให้กับการกระทำของนศ.รุ่นนี้มาแล้ว เราเองในฐานะที่ผ่านมาหลายรุ่นก็ต้องยอมรับว่ารุ่นนี้ทั้งคุณภาพและพฤติกรรมแย่ที่สุด ถึงกับบอกได้ว่าไม่ไช่แก้วที่มีน้ำเต็มแต่เป็นแก้วที่คว่ำ แต่ meepole ก็ได้แต่บอกทุกคนว่าต้องทำหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบในหน้าที่ ต้องทำหน้าที่ เหนือความรู้สึก เพราะถ้าเอาความรู้สึกอาจารย์แต่ละคนคงเลือกขอไม่สอนรุ่นนี้ อาจารย์คนหนึ่งคงได้งานใหม่ในไม่ช้า อีกสองคนก็เตรียมสอบเปลี่ยนที่ทำงานอยู่  สุดท้ายจะเหลืออาจารย์ในโปรแกรมสิ่งแวดล้อมคนเดียว  เพราะเพิ่งแต่งงานกับอาจารย์ในมหาลัยฯเดียวกันก็คงไม่ออกไปใหนแล้ว ส่วน meepole เองเตรียมลาออกในปีหน้า เมื่อใช้ทุนแผ่นดินหมด  คงต้องรับใหม่ทั้งหมด เสียดายที่อาจารย์น้องๆเหล่านี้เป็นคนที่ทำงานรับผิดชอบ เมตตาต่อเด็ก ไม่เห็นแก่ประโยชน์ของการแย่งชิงสอนเสาร์อาทิตย์เหมือนไม่ไช่ครู แบบที่หลายๆคนส่วนมากทำกัน ที่ไม่อยากสอนภาคปกติมากนัก แต่เสาร์ อาทิตย์ขอเต็มที่เท่าที่ทำได้ (meepole ไม่สอนตลอดที่ผ่านมา ขออยู่บ้านกับสามี คอมพิวเตอร์ ต้นไม้และสุนัข) ครูดีๆก็ทะยอยออกไปเรื่อยๆ

.............จนถึงวันนี้ควันหลงของการสอบสัมมนายังไม่หมด  เรื่องงานวิจัยของเด็กรุ่นนี้ก็ประดังเข้ามา เครียดกันอีกยก คราวนี้คงหนักกว่าสัมมนา วันนี้ขอ drop กันยกห้อง เพราะความไม่ตั้งใจ ไม่เอาใจใส่ ไม่รับผิดชอบ ไม่ส่งงานตามกำหนด สอบโครงร่างไม่ผ่าน แย่กว่าโครงงานเด็กม.ต้น เราก็บอกให้อาจารย์ไม่แบก วางลงก่อน เอาทีละเรื่อง ครูเครียดลงกระเพาะไปหนึ่งราย เฮ้อ !!! ทมะ ขันติ  เมตตา อุเบกขา ๆๆๆๆ

Monday 12 September 2011

ขอให้ทำจริงๆเถอะ

ขอให้ทำจริงๆเถอะ



เช้านี้ระหว่างรอ..หยิบหนังสือพิมพ์เก่าเดือนสิงหาคมมาอ่าน ครูผู้สอนวิชาด้านสิ่งแวดล้อมเห็นสาระอะไรที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมก็อ่านก่อนเสมอ ด้วยจุดประสงค์สองอย่าง หาความรู้ใส่ตัว หาความรู้ไปสอนนักศึกษา (บางทีก็นึกๆว่าเหมือนแม่นกกับลูกนก ที่วันๆส่ายตาออกหาหนอนไปป้อนลูกนก ต่างแต่ว่าลูกนกดีใจ อ้าปากรออาหาร แย่งกันกินอาการ แม่นกมีกำลังใจหามาป้อนอีก เจอนักศึกษารุ่นหลังนี่ตะโกนบอกอาหารมาแล้วก็เฉย ปรุงย่อยให้เสร็จ แทบต้องขอร้องให้กินเข้าไป เสียงเข้าหูซ้ายทะลุขวาหายไปหมด ถามก็เงียบ) รักษาอุเบกขาจริงๆ  ไม่รู้อุเบกขาเพราะไม่รู้ หรืออุเบกขาเพราะรู้  พอผลสอบออกมาก็รู้ว่าอุเบกขาแรกมันมากจริงๆ

อ่านเรื่อง กรมอุทยานฯดีเดย์ใช้หลักเศรษฐศาสตร์ประเมินคุณค่าระบบนิเวศ

"กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (อส.) เปิดตัวโครงการเพิ่มศักยภาพการใช้มาตรการเศรษฐศาสตร์เพื่อคงคุณค่า ความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศ เน้นการใช้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์และการเงินเป็นตัวสร้างแรงจูงใจให้เกิดการอนุรักษ์ธรรมชาติ ซึ่งดำเนินงานโดยกรมอุทยานแห่งชาติฯ องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมนี (GIZ) และศูนย์วิจัยสิ่งแวดล้อมเฮล์มฮอลท์ซ ด้วยงบประมาณโครงการรวม 80 ล้านบาท ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหภาพยุโรป รัฐบาลไทย รัฐบาลเยอรมนี และศูนย์วิจัยสิ่งแวดล้อมเฮล์มฮอลท์ซ ในโครงการพัฒนาสิ่งแวดล้อมและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน  ความร่วมมือดังกล่าวดำเนินการภายใต้ชื่อ “เศรษฐศาสตร์ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ (The Economic of Ecosystemas and Biodiversity : TEEB ) โดยโครงการจะสิ้นสุดในปี พ.ศ.2557 "


เจอคำพูดที่น่าคิดของ นางเวโรนีค ลอเรนโซ ที่ปรึกษาทางการทูตและหัวหน้าฝ่ายความร่วมมือ สำนักงานคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย ที่กล่าวว่า

“ในทางเศรษฐศาสตร์นั้น ศักยภาพของทรัพยากรธรรมชาติที่ให้ปัจจัยที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ เช่น น้ำสะอาด และการควบคุมสภาพภูมิอากาศนั้นมีต้นทุนที่ต่ำกว่าการแก้ปัญหาด้วยเทคโนโลยีเสมอ ดังนั้นการรักษาระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพจึงมีความคุ้มค่า”

 http://www.dailynews.co.th/web/index.cfm?page=content&categoryID=546&contentID=159792

อยากให้ทุกคนได้อ่านและตระหนักจริงๆ ก็ได้แต่หวังเช่นกันว่าผู้มีตำแหน่งหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับงานนี้ทั้งหลาย เมื่อได้ประเมินมูลค่าทางเศรษฐศาสตร์ออกมาแล้ว ต้องพัฒนาออกมาเป็นมาตรการ และมาตรการนั้นต้องปฎิบัติได้จริงและที่สำคัญต้องมีกฎหมายหรืออะไรก็ตามรองรับในกรณีที่ไม่ปฎิบัติตาม ให้สอดคล้องกัน ไม่ไช่เปิดช่องว่าง ช่องโหว่ จนไม่มีอะไรสามารถปฎิบัติได้จริง ก็จะเสียเงิน 80 หายไปกับการจัดประชุม ซึ่งจริงๆ เงิน  80 ล้านนั้น หากจะปลุกจิตสำนึก รณรงค์จริงจังให้ถูกจุดให้เข้าใจ และรักผืนป่าธรรมชาติ มากกว่าผลประโยชน์ส่วนตนอย่างต่อเนื่อง อาจไม่ต้องใช้เงินถึง 80 ล้านแบบตำน้ำพริกละลายแม่น้ำเหมือนหลายๆโครงการที่ผ่านไปโครงการแล้วโครงการเล่า ที่หมดงบ ก็หมดโครงการ จบเรื่อง (โดยที่เรื่องไม่จบ) มีงบค่อยเริ่มกันอีก

 นั่งติดตามข่าวแบบนี้ด้วยความไม่ยินดีหรือหวังอะไรนัก เพราะไม่อยากผิดหวังอีก เหมือนโครงการรณรงค์แยกขยะที่จังหวัดที่ meepole อยู่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน จัดอบรม  ทำเอกสารสีสวย ทำป้ายใหญ่โฆษณาทั่วเมือง ซื้อถัง หมดงบมหาศาลไปไม่รู้เท่าไหร่  สุดท้ายตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิม ขยะล้น ไม่มีการคัดแยกขยะของชาวเมือง บ้านใครอยากทำก็ทำไปเป็นเรื่องสำนึกส่วนบุคคล  อีกตัวอย่างที่ชัดเจนรณรงค์ลดโลกร้อน ประหยัดพลังงาน ลองดูรูปนี้ที่เป็นหน่วยงานของรัฐแห่งหนึ่งที่สร้างขณะรณรงค์ลดโลกร้อน (คงไม่ไช่ที่เดียวในประเทศ) เครื่องแอร์ที่เห็นครึ่งตึกด้านหลัง 60 กว่าตัวนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เป็นตัวอย่างและบทเรียนที่สวนกระแส แล้วจะกระตุ้นสอนนักศึกษาให้ดูตัวอย่างการประหยัดพลังงานได้อย่างไร คงไม่ต้องพูดอะไรมากกว่านี้ เพราะภาพเดียวแทนคำตอบ สะท้อนและสรุปทุกอย่างให้เห็นชัดเจน

คนไทยคิดโครงการเก่ง ตั้งงบเก่ง โครงการรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมดีๆมีมากมาย เพียงแต่ขาดคนที่มีสำนึกจิตสาธารณะที่แท้เป็นคนดำเนินการทำ ก็เลยไม่มีอะไรสำเร็จอย่างแท้จริง  งบหมด งานก็จบ น่าเสียดายจัง!!

Saturday 10 September 2011

หยาดเหงื่อบนเมล็ดข้าว

หยาดเหงื่อบนเม็ดข้าว



วันนี้ไปวัดร่วมงานทำบุญบำเพ็ญกุศลให้บุพพการีของเพื่อนร่วมงาน งานดี เรียบง่ายเงียบๆท่ามกลางญาติ เพื่อนสนิท ขั้นตอนการบำเพ็ญบุญผ่านไปด้วยความศรัทธาและความตั้งใจของเจ้าภาพ ทุกคน อิ่มท้องและอิ่มบุญ..

วันนี้ขณะที่ฆราวาสทั้งหลายจะเริ่มทานอาหาร ท่านเจ้าอาวาสก็ให้โอวาทเตือนสติก่อนว่า ก่อนทานอาหารต้องมีการพิจารณาก่อนนำอาหารเข้าปาก ดูว่าอาหารอะไรที่เป็นคุณเป็นโทษต่อตัวเรา ร่างกายเราไม่เหมาะกับอาหารประเภทใด ก็ลดๆอย่าตามใจกิเลส เพราะอาหารบางอย่างก็เป็นโทษกับร่างกาย คือมีสติก่อนกิน ขณะกิน

ส่วนที่สองท่านเน้นให้ทานข้าวให้หมด อย่าทิ้งขว้างข้าว ให้ระลึกถึงคุณพระแม่โพสพ และชาวนาที่ปลูกข้าว เกี่ยวข้าวแต่ละรวงกว่าจะได้มา น้ำท่วมข้าวจะหายากและแพงขึ้นในอนาคต 

ฟังแล้วมีความรู้สึกว่าท่านจะเป็นห่วงเรื่องการกินแบบฟุ่มเฟือย กินสุรุ่ยสุร่าย พูดง่ายว่ากินทิ้งกินขว้าง ท่านอยากจะให้จัดงานแบบพอดี ไม่มากเกินไป แม้จะเข้าใจว่าเป็นศรัทธาของโยมๆ เสร็จงาน meepole กลับมาบ้าน ฝนตกอากาศสบายๆ ก็นั่งทบทวน เลยคิดว่าควรเอาคำแนะนำของพระอาจารย์มาเขียนบอกต่อเผื่อใครที่ชอบจัดงานแบบฟุ่มเฟือยเหลือทิ้ง จะได้ลดๆลง และลองหาเรื่องความเคารพต่อพระแม่โพสพมาประกอบด้วย...........ดังนี้

ข้าวมีความสำคัญต่อชีวิตคนไทย เป็นของมีคุณ เป็นพืชที่เลี้ยงชีวิตเผ่าพันธุ์ไทยยั่งยืนมาแต่โบราณกาลจนปัจจุบัน เมื่อใดที่อยู่ในสภาพ "ข้าวเหลือเกลืออิ่ม" ประชาชนก็จะมีความสงบสุข แต่เมื่อเกิดข้าวยากหมากแพง ประชาชนก็จะหน้าดำคร่ำเครียดเกิดความทุกข์ คนไทยจึงมีความกตัญญูต่อข้าว ยกย่องข้าวเป็นพืชศักดิ์สิทธิ์ เชื่อว่าในข้าวมีวิญญาณ ข้าวเรียกว่า "แม่โพสพ" สถิตอยู่ ฉะนั้นผู้เฒ่าผู้แก่จึงสั่งสอนให้กราบไหว้ระลึกถึงพระแม่โพสพก่อนนำข้าวเข้าปากคำแรก ห้ามมิให้เหยียบย่ำข้าว มิให้สาดข้าวหรือทำข้าวหก กินข้าวเสร็จแล้วก็สอนให้ไหว้แม่โพสพขอบคุณ

คติความเชื่อและความรู้สึกของคนไทยที่มีต่อแม่โพสพ จึงเป็นความรู้สึกสำนึกถึงบุญคุณที่ให้อาหารเลี้ยงชีวิตคือข้าว คนไทยจึงให้ความเคารพข้าว ไม่ใช้คำหยาบคาย หรือแช่งด่าต้นข้าว หรือเมล็ดข้าว ถ้าทำข้าวหก ก็จะก้มลงเก็บอย่างเรียบร้อย ไม่ข้าม ไม่เหยียบ ไม่ใช้เท้ากวาดข้าวจะเก็บไว้เป็นที่เป็นทาง อย่างเรียบร้อย ไม่ทิ้งเรี่ยราด เลอะเทอะ ไม่ว่าจะเป็นข้าวเปลือก ข้าวสาร หรือข้าวสุก เมื่อรับประทานข้าว จะรับประทานอย่างเรียบร้อย ไม่ทำหกเลอะเทอะ เมื่ออิ่มก็จะไหว้ขอบคุณแม่โพสพ

ผู้ใหญ่แต่เก่าก่อน นับถือแม่โพสพมาก เมื่อแรกทำนาจนกระทั่งถึงเวลาไถคราด เก็บเกี่ยวรวงข้าวด้วยเคียวเหล็ก จะต้องประกอบพิธีเซ่นบูชาแม่โพสพทุกระยะ เช่น ก่อนหน้าเวลาฤกษ์แรกนา จะปลูกศาลเพียงตา สูงระดับสายตาคน ณ ที่ใดที่หนึ่ง ที่กำหนดไว้เป็นที่แรกนา ตระเตรียมเครื่องสังเวยบูชาแม่โพสพให้ครบถ้วน พร้อมทั้งกล่าวคำขวัญเป็นถ้อยคำไพเราะ อ้อนวอนแม่โพสพให้คุ้มครองรักษาต้นข้าว

แต่คนรุ่นปัจจุบันมักจะลืมเรื่องราวเหล่านี้ บางคนอาจไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน  กินทิ้งกินขว้าง เหลือข้าวเต็มจาน ไม่เคยคิดว่าข้าวแต่ละเม็ดคือหยาดเหงื่อของชาวนา อย่าคิดว่าเงินมีจ่ายซื้อแล้วจะเหลือทิ้งยังไงก็ได้ ไม่อยากให้อนาคตเมื่อถึงตอนมีเงินจ่ายก็ไม่มีข้าวพอที่จะให้ซื้อ เพราะเราทำผิดต่อพระแม่โพสพกันมานาน ไม่เชื่อไม่เป็นไร แต่เรื่องการไม่เทข้าวทิ้ง หากทำได้ก็ช่วยๆกันบอกต่อ ถ้าเหลือจริงๆก็ให้นกกาได้กิน เรื่องนี้ meepole  ฝึกตนทำมาตลอดด้วยสำนึกหยาดเหงื่อ บุญคุณของชาวนาบนข้าวทุกเมล็ด

อ้างอิง

Friday 9 September 2011

สำนึกดี อยู่ที่ ?

สำนึกดี อยู่ที่ ?



เมื่อวานได้แวะไปร้านส้มตำไก่ย่าง ซื้อส้มตำ ยำทะเล ที่ร้านเล็กๆติดรั้วมหาวิทยาลัย ที่นี่เขาจะแบ่งแนวกำแพงให้เป็นห้องเล็กๆสำหรับให้ร้านค้ามาเช่า ส่วนมากก็ขายอาหาร อาศัยกำแพงเป็นฝาหลัง ร้านนี้เคยทานมาเกือบปีแล้ว ส่วนมากเพื่อนจะซื้อมาทานกันแต่ meepole ไม่ได้ไปซื้อเองก็เลยไม่เคยได้คุยกับแม่ค้า วันนี้เป็นคนแรกที่ไปเป็นลูกค้า ระหว่างยืนรอ แม่ค้าก็ช่างคุย ชวนmeepole คุยโน่นนี่ เริ่มจากทานเผ็ดใหม ไม่ทานหมูหรือ กระทั่งเป็นคนที่ไหน ไม่เคยเห็นฯ meepole ก็ถามว่าขายถึงกี่โมง เธอบอกว่าประมาณบ่ายสามโมงกว่าสี่โมงก็เก็บ meepole ก็ว่าไม่ขายช่วงเย็นหรือ เธอตอบว่า ........

"ไม่ขายหรอก ไม่อยากให้คนเอาเหล้ามากิน"  ก็คิดว่าคงเป็นนักศึกษา จึงพูดว่า" ก็เขียนติดประกาศไว้หน้าร้านว่า งดนำเหล้าเข้ามาดื่ม" เธอตอบว่า "ไม่ไช่นักศึกษาหรอก นักศึกษาไม่กล้าเอาเหล้าเข้ามากิน เขารู้ " ก็เลยแปลกใจ ถามว่า "แล้วใครเอาเข้ามา" คำตอบได้ยินแล้วเป็นอึ้งกิมกี่ เธอตอบว่า "ที่เอาเหล้ามาดื่มน่ะเป็นอาจารย์ ไม่กล้าห้าม อายุก็มากกันแล้ว เราไม่อยากมีปัญหา มันอยู่ติดมหาวิทยาลัย และก็เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีกับเด็กด้วย เราไม่อยากให้เด็กเห็น นะอาจารย์นะ" 

 ได้ยินแล้วก็มองหน้าแม่ค้านี้ด้วยความรู้สึกชื่นใจและขอบคุณ ที่มีจิตสาธารณะ มีจิตที่เมตตา สำนึกดีกว่าผู้ได้ชื่อว่าครู อาจารย์ ซึ่งสอนในระดับอุดมศึกษา แต่กระนั้น meepole ยังมีความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อว่าจะเป็นอาจารย์ จึงพูดไปว่า "อาจเป็นคนนอกหรือเจ้าหน้าที่" เธอบอกมาทันที "โธ่อาจารย์หนูไม่ไช่เพิ่งมาขาย อาจารย์กี่รุ่นมาทานที่นี่ หนูรู้จัก และเด็กเขาก็เรียกอาจารย์นะ  หนูเลยตัดปัญหา และมีที่ดื่มเก่งๆเป็นอาจารย์ผู้หญิงด้วย เราเห็นแล้วไม่กล้าพูด ตอนนี้ก็ไม่ค่อยเห็นอาจารย์ชายอายุมากคนนั้นแล้ว"  meepole ก็บอกว่า "อาจเกษียณไปแล้ว"  แล้วก็ไม่พูดอะไรต่ออีก

เดินออกจากร้านด้วยความรู้สึกแปลกๆที่บอกไม่ถูก ที่ว่าแปลกคือหดหู่ ปนเศร้า ปนไม่น่าเชื่อ คิดว่าไม่น่าเชื่อว่าแม่ค้าส้มตำ มีสำนึกดี รับผิดชอบ ต่อเยาวชน ในขณะครูอาจารย์ที่มีการศึกษาดี มีหน้าที่การงานดี และมีความรับผิดชอบที่ต้องอบรม สั่ง สอนและเป็นตัวอย่างที่ดีกับนักศึกษา กลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม ที่ร้านข้างรั้วมหาวิทยาลัยแท้ๆ 

ดังนั้นการศึกษา (ที่มีครู อาจารย์สั่งสอน) และตำแหน่งหน้าที่ไม่ได้เป็นตัวทำให้มีสำนึกดีได้เลยหรือ  จากตรงนี้อาจต้องปรับความคิดใหม่ หรือไม่ว่า สำนึกดีต้องเริ่มตั้งแต่ในครอบครัว ที่มีผู้ใหญ่สั่งสอน หรือประพฤติเป็นตัวอย่างให้เห็น นับว่าโชคดีจังที่ข้างรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้ มีแม่ค้าที่มีสำนึกดีกว่าครู อาจารย์บางคน ขอบคุณแทนพ่อแม่นักศึกษาจริงๆ

Wednesday 7 September 2011

ใคร ?? ตกต่ำ ใครกันที่ควรปรับปรุง



จากพาดหัวข่าว  คุณภาพบัณฑิตไทยตกต่ำ แนะมหาลัยปรับคุณภาพบัณทิตให้มากขึ้น
ศ.ดร.ภาวิช ทองโรจน์ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) ให้สัมภาษณ์กรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าบัณฑิตไทยไม่มีคุณภาพว่า คุณภาพบัณฑิตไทยตกต่ำมานานพอสมควรแล้ว ภาพรวมยิ่งน่าเป็นห่วงโดยเฉพาะบัณฑิตที่จบในสาขาที่ไม่มีองค์กรวิชาชีพกำกับดูแลอย่างสายสังคมจะไม่ค่อยมีคุณภาพเท่าที่ควร และยังผลิตมาก ขณะที่ตนเคยคุยกับผู้ประกอบการต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าบัณฑิตที่จบออกมาส่วนใหญ่ไม่สามารถทำงานได้ทันทีต้องมาเสียเวลาจัดอบรมและฝึกทักษะพอสมควรถึงจะทำงานได้ ส่วนที่ทำงานได้เลยมีน้อยมากและเป็นผลผลิตจากมหาวิทยาลัยเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น ดังนั้นมหาวิทยาลัยต่างๆจะต้องหันกลับมาดูและเตรียมความพร้อมคุณภาพของบัณฑิตให้มากขึ้น ทั้งเรื่องภาษา เทคโนโลยีที่ทันสมัย

ด้านดร.สุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) กล่าวว่าที่ผ่านมาตนคุยกับผู้ใช้บัณฑิตหรือสถานประกอบมาตลอดต่างก็บ่นว่าบัณฑิตไทยไม่ค่อยมีคุณภาพเท่าที่ควร และก่อนทำงานต้องมาจัดฝึกอบรมให้ก่อน ทำให้ต้องเสียงบฯ และเวลาพอสมควรกว่าบัณฑิตจะทำงานได้
โดย : ศูนย์ข่าวการศึกษาไทย (ENN) 7 ก.ย. 54

จากพาดหัวข่าว และคำกล่าวข้างต้นของทั้งสองคนที่อยู่ในวงการศึกษามานาน อยู่ในตำแหน่งที่สามารถจะผลักดันให้เกิดคุณภาพหรือเกิดการพัฒนาทางการศึกษาได้ และเป็นสิ่งที่คนที่เอาใจใส่ในคุณภาพการศึกษารู้ดี  รู้มานานแต่ทุกสิ่งที่ไม่มีคุณภาพเหล่านั้นก็ยังคงดำเนินต่อไป แต่ที่จะเห็นได้ชัดเจนคือการพัฒนาทางสิ่งก่อสร้างเพิ่มมากขึ้น บางสถาบันมีเงินหมุนเวียนในการสร้างหรือซ่อมตึก อาคาร เปลี่ยนป้ายชื่อ ทำกำแพง สร้างสนามกีฬา สระว่ายน้ำ หอประชุม หลายร้อยล้านในสามปี แต่นักศึกษาบางสาขาวิชากลับไม่มีอุปกรณ์ในการเรียน ไม่มีจริงๆแม้กระทั่งอุปกรณ์พื้นฐานในปีที่เปิดโปรแกรม (วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม  สาขามลพิษสิ่งแวดล้อม) แต่เอกสารการขอเปิดหลักสูตรมีทุกอย่างครบถ้วนเพราะกรรมการอนุมัติไม่รู้เรื่องอะไร  เชื่อตามที่เขียนไป อนุมัติหลักสูตรโดยไม่มีแม้แต่อาจารย์ที่ตรงสาขาตามที่กำหนดคุณสมบัติกันไว้ แล้วใครจะเอาจริงเอาจังกับเรื่องเหล่านี้ เพราะทุกคนมักคิดและให้เกียรติกันว่าเป็นไปตามความจริง meepole กว่าจะรู้ว่าไม่มีอะไรเลยเมื่อกลับมาใช้ทุน(รัฐบาล) ในสถาบันแห่งนี้ และได้เสนอบอกบัญหาโดยลำดับตั้งแต่คณบดี รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ อธิการบดี จนกระทั่งนำเข้าสู่สภามหาวิทยาลัย เพื่อพูดถึงคุณภาพที่ได้อนุมัติหลักสูตรเปิดสอนโดยไม่มีอุปกรณ์ของสาขาวิชาเลย (จนปัจจุบัน) และเมื่อนักศึกษาไปฝึกงานจึงไม่สามารถฝึกงานตรงสาขาได้เลย เพราะไม่เคยได้ทำปฏิบัติการ  จนจบไป 3 รุ่น

นักศึกษาที่จบจากที่นี่มีทั้งที่ไม่มีงานทำ เป็นพนักงานขายของ พนักงานเสริฟ  พนักงานนับของ  ครู  อบต. ไม่มีคนได้เป็นนักสิ่งแวดล้อม หรือที่เกี่ยวข้องตามสาขาที่ได้เรียน (วท.บ.  วิทยาศาสตร์บัณทิต ) เพราะไม่เคยได้ทำปฏิบัติการในวิชาเฉพาะสาขาเลย ทั้งๆที่จ่ายเงินค่าปฎิบัติการที่แพง ความผิดนี้ไม่ไช่ของเด็กนักศึกษา  อาจารย์ในสาขาได้บอกสิ่งนี้กับนักศึกษาให้ทราบทุกรุ่น 

meepole เคยพูดในที่ประชุมสภามหาวิทยาลัยเพื่อให้กรรมการสภาฯได้เห็นความจำเป็น เมตตาต่อนักศึกษาและ ช่วยผลักดันให้อนุมัติการจัดให้มีอุปกรณ์  ด้วยคำพูดนี้  ดิฉันขอเรียนให้กรรมการสภาฯทราบว่า นักศึกษาที่ไปฝึกงานในปีที่ผ่านมากลับมารายงานและพูดว่าเขารู้สึกละอายมากเมื่อเข้าไปฝึกงานที่แห่งหนึ่งแล้ว มีนักศึกษาจากสองสถาบันมาฝึกด้วย พี่เลี้ยงจะแบ่งงานก็ถามว่าใครใช้อุปกรณ์ใดเป็นบ้าง ทุกคนเป็นหมดยกเว้นที่มาจากสถาบันนี้ที่ไม่เป็นเลยและไม่เคยเห็นด้วย มีพวกเขาสองคนที่ส่ายหัวว่า "ไม่" ตลอด และดิฉันก็ตอบเด็กเช่นกันว่า ไม่เพียงแต่คุณที่ละอาย แต่ครูก็ละอายไม่ต่างกัน และรู้สึกผิดต่อพวกคุณ (นศ.) ด้วยที่ไม่สามารถจัดหาอุปกรณ์ให้ได้

 meepole เชื่อว่าทุกคนได้ยินชัดเจนแต่จะเข้าใจหรือไม่ ไม่ทราบ และมีเอกสารที่โปรแกรมแจกแจงอุปกรณ์ที่ควรมีและต้องมีประมาณ 18 รายการ งบ 2 ล้านบาทเศษ แบบประหยัดสุดๆ ประกอบการอธิบายในสภาฯว่าใช้สอนในวิชาใด ขอเช่นนี้มา 3 ครั้งในทุกระดับ แต่ไม่เคยมีการตอบรับกลับมา จนเด็กจบไป 3 รุ่นและเราเห็นว่าจะเกิดผลเสียต่อนักศึกษา เหมือนหลอกลวง ทำร้ายอนาคตของเขา ที่หลงมาเรียนในสภาพที่ไม่พร้อม ก็เลยขอปิดหลักสูตรสิ่งแวดล้อม แต่ไม่ได้รับการอนุญาตจากอธิการบดีและเรียกหัวหน้าโปรแกรมและอาจารย์ไปบอกว่าสิ่งนี้ต้องไม่เกิด จะไม่มีการปิดโปรแกรม (เพราะมีนศ.สนใจมาเรียน) จนบัดนี้เราก็ยังคงต้องสอนกันโดยไม่มีอุปกรณ์เฉพาะสาขาให้เด็กได้ฝึกปฎิบัติเลย  นี่คือความจริงเพียงส่วนหนึ่งของความไม่มีคุณภาพที่นี่ แต่การประเมินคุณภาพคณะผ่านมาโดยตลอดเพราะกรรมการประเมินรู้กันดีดูเอกสารเป็นหลัก เคยเสนอให้กรรมการต่างๆมาเดินเยี่ยมชมสถาบันที่ท่านเป็นกรรมการอยู่  แต่คงคาดเดาได้นะคะว่าสิ่งที่ meepole ขอเป็นไปได้หรือไม่  หุ หุ  

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่อยากให้โทษนักศึกษาฝ่ายเดียวที่ไม่มีทักษะ หรือไม่มีคุณภาพ เพราะเบื้องหลังความขาดทักษะ ไม่มีคุณภาพต่างๆนั้น มาจากการจัดการบริหารที่ไม่เอาใจใส่คุณภาพด้านวิชาการอย่างจริงจัง จริงใจ  กรรมการประเมินที่ไม่ใส่ใจจริงจัง ดูแต่ภาพลวงตาที่สวยหรู ให้ผ่านดี ดีเยี่ยม ตามตัวอักษรในรายงานทุกครั้ง คุณภาพการศึกษาจึงตกต่ำ ไม่มีการปรับปรุงคุณภาพที่แท้จริง จึงทำให้เป็นดังเช่นที่นักการศึกษาแต่ละคนที่ออกมาพูดให้เป็นข่าวครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วก็หายเงียบไป ผลกรรมตกที่นักศึกษา ลูกหลานใคร??  จึงอยากเปลี่ยนหัวข่าวให้เป็น

คุณภาพบัณฑิตไทยตกต่ำ แนะมหาลัยปรับ
คุณภาพผู้บริหาร และกรรมการประเมิน ให้มากขึ้น

 Meepole อยากเห็นคนที่มีตำแหน่งที่สามารถจะบันดาลสิ่งนั้น (คุณภาพที่แท้ ไม่ไช่ภาพที่สร้าง) ให้เกิดได้ เข้ามาอ่าน มาเห็น มาร่วมรู้สึก และช่วยลบภาพลวงตาเสียที การศึกษาชาติจะได้พัฒนาจริงๆ แล้ว 15,000 บาท จะได้ไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป

Sunday 4 September 2011

If I were in your shoes......

if I were in your shoes


เมื่อคืนได้คุยกับสามีเรื่องที่เพิ่งเขียนไปเมื่อวาน เขาก็ย้อนถามว่าแล้วหากเป็น meepole จะทำอย่างไร เลยตอบแบบที่คิดไปว่า เป็นตัวของตัวเองแบบเดิม การทำงานต้องมีหลักการ และจุดยืน หากจุดยืนต้องเปลี่ยน(หุ หุ) แต่หลักการต้องไม่เปลี่ยน มโนธรรมในใจตนจะเป็นเข็มทิศชี้ทาง

ในโลกนี้ยังมีสีขาว ดำอยู่ แต่สำหรับหลายๆคนในปัจจุบันจะพูดหรือฟันธงว่ามัน ขาวหรือดำ ไม่ได้หรอก ยุคสมัยเปลี่ยนไป ยุคนี้มีแต่เทา แล้วแต่จะเทาอ่อน หรือเทาแก่  meepole คงเป็นคนดื้อ (แทนที่เขาจะมองว่านี่ก็เป็นจุดยืนที่เราเลือกแล้ว)  หรือใครบางคนอาจว่า meepole ยังยึดมั่นถือมั่น ติดดี ก็น้อมรับกัน  แต่จริงๆแล้ว อยากให้ลองพิจารณาข้อความนี้ดู

  ชีวิตของเราเวียนว่ายตายเกิดอยู่ระหว่างความดีและความชั่ว หลายครั้งเรารู้ว่าสิ่งใดผิด แต่เราก็ฝืนมันไม่ได้ ดังนั้นเราจึงต้องมีความตั้งใจที่มั่นคง มีรากที่มั่นคงในกุศล.... 


ดังนั้นหากใครจะมีจิตที่มั่นคงเลือกเดินในเส้นทางที่ถูกตามทำนองคลองธรรม ก็เป็นจุดยืนที่เลือกแล้ว เพราะ meepole ยังเชื่อว่า สีขาวคือความขาว สีดำก็คือความดำ หากขาวเจือดำแล้ว มันก็เป็นเทา ไม่มีวันเป็นขาว  และดำเจือขาว มันก็ไม่ดำสนิทและคงต้องใช้ขาวมากหน่อยจึงเริ่มเทา และโลกนี้เรายังมี ดำ ขาว และเทา อยู่

การยืดหยุ่น การประณีประนอม การออมชอม  การปรองดอง เป็นอีกประเด็นกับ ความถูกต้อง ความผิด จะถูกผิด ว่ากันไป ยอมรับสิ่งที่ทำ รับโทษในสิ่งผิดที่ทำไป แล้วตั้งต้นใหม่ เหมือนว่า ละชั่วก่อน แล้วจึงทำดี  ไม่ไช่ ทำดีกลบชั่ว ดีไม่นาน

 เราไม่อาจบังคับหรือขอให้ใครคิดและทำเหมือนเราได้ เพราะมักจะพูดกันว่า "ไม่เป็นเราเขาไม่รู้หรอก"  "If you were in my shoes, what would you do ?"   แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามความจริงคือ เราไม่ไช่จิ้งจก หรือต้นหญ้า เรามีปัญญาที่ทำให้เราเหนือสิ่งมีชีวิตอื่น แต่ปัญญานั้นต้องมีคุณธรรมกำกับ แล้วเราทุกคนจะเดินไปยังเป้าหมายที่ถูกต้องอันเดียวกัน

หมายเหตุ
หลักการ  หมายถึง  สาระสำคัญที่ยึดถือเป็นแนวปฏิบัติ 
จุดยืน    หมายถึง  ความคิดแน่วแน่   ความมั่นคงในหลักการตามความคิด   ความเชื่อของตน


ขออัญเชิญพระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานกระบี่และปริญญาบัตรนักเรียนนายร้อยตำรวจ 18 เมษายน 2532 ดังนี้

"อุปสรรคสำคัญของการทำงานก็คือความท้อถอย และความหวั่นเกรงต่ออิทธิพลต่างๆ ซึ่งเป็นเหตุบั่นทอนความสามารถในตน กับทั้งความเที่ยงตรงต่อหน้าที่อย่างร้ายกาจ   จะต้องมีความรับผิดชอบ ความสุจริตเป็นธรรม ในการกระทำ คำพูด และความคิดเสมอ จะต้องรักษาความกล้า ความอุตสาหะ และความอดทนเสียสละมิให้เสื่อมถอย จะต้องระมัดระวังควบคุมสติความรู้เท่าทันเหตุการณ์ให้ได้ตลอดเวลา.."

พระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสพระราชทานเพื่ออัญเชิญไปอ่านในพิธีเปิดการประชุมยุวพุทธิกสมาคมทั่วประเทศ ครั้งที่ ๑๒  ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๑๓
"ในบ้านเมืองเราทุกวันนี้ มีเสียงกล่าวกันว่า ความคิดจิตใจของคนเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เสื่อม ความประพฤติที่เป็นความทุจริตหลายอย่างมีท่าทีจะกลายเป็นสิ่งที่คนทั่วไปพากันยอมรับ และสมยอมให้กระทำกันได้เป็นธรรมดา สภาพการณ์เช่นนี้ย่อมทำให้วิถีชีวิตของแต่ละคนมืดมัวลงไป เป็นปัญหาใหญ่ที่เหมือนกระแสคลื่นอันไหลบ่าเข้ามาท่วมทั่วไปหมด จำเป็นต้องแก้ไขด้วยการฝืนคลื่นที่กล่าวนั้น
ในการดำเนินชีวิตของเรา เราต้องข่มใจไม่กระทำสิ่งใด ๆ ที่เรารู้สึกด้วยใจจริงว่า ชั่วเสื่อมเราต้องฝืนต้องต้านความคิด และความประพฤติทุกอย่าง ที่รู้สึกว่าขัดต่อธรรมะ เราต้องกล้า และบากบั่นที่จะกระทำสิ่งที่เราทราบว่า เป็นความดีเป็นความถูกต้อง และเป็นธรรม ถ้าเราร่วมกันทำเช่นนี้ให้ได้จริง ๆ ให้ผลของความดีบังเกิดมากขึ้น ๆ ก็จะช่วยค้ำจุนส่วนรวมไว้มิให้เสื่อมลงไป และจะช่วยให้ฟื้นคืนดีขึ้นได้เป็นลำดับ"

Saturday 3 September 2011

คิดถึงคำครูสอน

คิดถึงคำครูสอน



วันนี้ไปอ่านเจอข้อความข้างล่างนี้ที่มีคนเขียนในการตั้งข้อสังเกตพฤติกรรมของผู้จัดรายการท่านหนึ่งว่าเปลี่ยนไป
"...ในยามที่พายุโหมกระหน่ำรุนแรงไม้ใหญ่ย่อมหักโค่นเพราะแข็งขืน แต่ต้นหญ้ายอมเอนลู่ตามลม  ไม่มีวันหักโค่นและคงจะมีโอกาสที่จะฟื้นตัวหลังจากพายุผ่านพ้นไป"
(http://www.oknation.net/blog/doilor/2011/09/01/entry-1)

อ่านแล้วก็นึกไปถึงหลายๆเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เลยนั่งคิดย้อนดูตัวเอง แล้วทำให้คิดถึงคำสอนของ ครู สองคนที่ meepole จำได้ตลอดมาแม้ว่าจะผ่านไปหลายสิบปี...........

ตอนจบปริญญาตรีเข้าทำงานใหม่ๆ เคยถูกผอ.อาวุโส (เพื่อนแม่) ของสถาบันแห่งหนึ่งและสอน meepole ด้วย เรียกตัวไปพบ จำไม่ได้ว่าเพราะเหตุอันใด ท่านได้แนะนำหรือสอนว่า ให้หัดทำตัวเหมือนน้ำที่กลิ้งบนใบบอน แล้วจะทำงานได้สะดวก อย่าทำตัวให้มีมุม มันจะติดไปหมด  จำได้ว่าด้วยวัยวุฒิที่เพิ่งจบการศึกษา และมีความตรงไปตรงมาเลยโต้ตอบไปทันทีว่า หนูคงทำตัวแบบนั้นไม่ได้ เพราะที่บ้านสอนให้ทำอะไรตรงไปตรงมา คงกลิ้งไปกลิ้งมาแบบนั้นไม่ได้  อันนี้จึงยังไม่เคยปฏิบัติตาม

คำสอนของผอ.ท่านนี้อาจไม่ผิด แต่รู้ว่าหากทำแล้วทุกข์ ฝืนตัวตนก็ไม่ทำ อันนี้ meepole ก็ต้องยอมรับว่าการที่ไม่เคยยอมก้มให้กับผู้บริหารที่ทำในสิ่งไม่ถูกต้องและตัวเองก็ยืนหยัดในการทำสิ่งที่ถูกศีลธรรมเสมอมา แม้ไม่เจริญในราชการมากนักแต่ไม่ตกต่ำ และเป็นสุขใจ ไม่มีใครสามารถมาทำให้เราถอยหลังได้ ไม่มีใครกล้ามาวุ่นวาย และเป็นที่เคารพ เป็นที่ปรึกษาเป็นตัวอย่างของหลายๆคนที่ต้องการกำลังใจที่จะยืนหยัดต่อสู้กับสิ่งไม่ถูกต้องในที่ทำงานมาทุกยุคและยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป

อาจารย์อีกท่านเป็นทั้ง advisor และเป็นอาจารย์สอนตอนปริญญาตรีเป็นคนที่ meepole ระลึกถึงพระคุณท่านเสมอมาจนปัจจุบัน (ขออนุญาตเอ่ยนามคือ อ.ชลอ วิเศษเสนีย์)  เมื่อ meepole กลับไปเรียนปริญญาโท ก็ยังคงแวะไปเยี่ยมคุยอาจารย์เป็นประจำ ท่านสนิทกับ meepole มาก ท่านสอนว่า  ยิ่งเรียนสูงขึ้นมีความรู้มากขึ้น อย่าทำตัวเหมือนไม้ไผ่ที่แข็งตรงจะหักโค่นเมื่อโดนพายุใ ห้ทำตัวเหมือนต้นข้าวที่ยิ่งออกรวงมาก เสมือนมีความรู้มาก ยิ่งเอนลู่โน้มลง  ในความหมายของท่านคือสอนให้เป็นคนอ่อนน้อม ไม่แข็งกระด้าง หรือหยิ่งผยองเมื่อมีความรู้สูงขึ้น
 meepole น้อมรับคำสอนนี้และปฎิบัติตามที่อ.ชลอท่านสอนตลอดมา มีความระมัดระวังที่จะไม่ยกตนข่มใครเป็นอันขาด และที่ประพฤติปฏิบัติมาโดยตลอดคือการไม่มีตัวตน (ทำโดยไม่ต้องไม่มีใครรู้จักตัว หากรู้เห็นตัวว่ากำลังทำ ก็ไม่รู้จักชื่อหรือว่าเป็นใคร หากรู้จักชื่อก็ไม่รู้ว่าคนไหน) เป็น อยู่ให้ธรรมดาเหมือนตอนเกิดมา ไม่ต้องปรุงแต่ง แบกยกอะไรให้มากนัก ชีวิตก็เบาสบาย

หลายครั้งเมื่อเจอเรื่อง เจอคนในสังคมปัจจุบันที่มีแนวคิด หรือมีการกระทำในลักษณะแบบน้ำกลิ้งบนใบบอน ไหลคล่องทุกสถานการณ์   หรือประเภทจิ้งจกเปลี่ยนสี  ดีหรือชั่ว ถูกหรือผิด ไม่มีแยกแยะ เพราะมีคำรองรับการกระทำนั้นมากมายเช่น  "เขาคงมีความจำเป็น...เลยต้องทำ"  "ก็ต้องตามน้ำไปก่อน ไม่งั้นก็จม"   "ยืดหยุ่นกันหน่อย..."   ฯ สารพัดข้ออธิบาย แล้วเขาก็อยู่ได้ แต่จะอยู่ดีหรือไม่  มีความสุขที่แท้ มีศักดิ์ศรี มีสำนึกละอาย หรือไม่ ไม่มีใครรู้ ใจตัวเองเท่านั้นที่รู้ เพราะสุข -ทุกข์อยู่ที่ใจของเขา  แต่หากเราคิดจะทำเช่นเดียวกับเขาแล้วรู้สึกละอายหรือทุกข์ ก็อย่าไปทำ เพราะมโนธรรมในใจคนมีไม่เท่ากัน การอบรมสั่งสอน พื้นฐานทุนของครอบครัวมีไม่เท่ากัน ทำให้เราแตกต่างกัน

ดังนั้นการที่ใครจะทำตัวเป็นอะไร ในสังคมยุคบริโภคนิยมเช่นนี้ จึงมีเหตุผล มีข้ออธิบายได้หมด เขาจะไม่พูดถึงถูกผิด ชั่วดี  เพราะบางคนบอกว่าวัดไม่ได้  แต่ยังไงๆ  meepole ยังคงเชื่อคำที่ว่า สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ อย่างน้อยคนที่คิดดี ทำดี ของแท้ กินได้ นอนหลับ ฝันดี ที่สำคัญไปไหนมาไหนไม่ต้องสะดุ้งเหลียวหน้ามองหลัง เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน ลูกหลานมีสุข อบอุ่นอยู่ในแผ่นดินไทย ภายใต้พระบรมโพธิสมภารของกษัตริย์ทุกพระองค์ที่เสียสละเพื่อแผ่นดินมานับไม่ถ้วน :)


Friday 2 September 2011

ยังไงก็เข้าข้างหมา!!



หนุ่มpote'  larna หนุ่มken

meepole เป็นคนรักหมาค่ะ เป็นเพราะตั้งแต่เด็กที่บ้านเลี้ยงหมาคู่แรกที่รู้จักคือ อัลเซเชี่ยนชื่อเจ้า Box และ Sunday เป็นของแม่ หลังจากนั้นก็ได้มีหมาของตัวเองตัวแรกตอนประถมชื่อ Coco สีน้ำตาลไหม้เป็นหมาจู เดี๋ยวนี้คงไม่มีใครเรียกแบบนั้นแล้ว หลังจากนั้นก็เป็น chabu  mom   ตั่วตี๋ (ลูกของ mom) และมีที่ไม่ไช่ของ meepole แต่รับอุปถัมถ์คือ  coke นางอาย ตัวนี้ช่วยชีวิตเขาไว้ตอนเด็กไปเจอเขาดิ้นอยู่ในวัดเพราะมีถุงพลาสติกครอบหน้าอยู่ไปดึงออกเกือบโดนแม่หมากัดเพราะคิดว่าเราจะไปจับลูกเขา พอไม่นานแม่หมาตายพระอาจารย์เลยเลี้ยงไว้ จากนั้นเป็นหมาที่คนย้ายบ้านแล้วมาทิ้งในวัดชื่อ bobby และอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยย้ายบ้านทิ้งแม่หมาที่กำลังมีลูกอ่อนไว้ แม่บ้านมาบอกก็ไปเก็บมาอีกชื่อ เสือ กับ สิงห์ (ถูกรถชนตายตอนเด็ก)


chabu2 และ yiching
หลังจากนั้นได้หมาที่มหาวิทยาลัยอีกนั่นล่ะที่จนท.ใส่ตะกร้ามาให้เลือกสองตัวตัวนึงอ้วนมากอีกตัวผอมเล็กบอกว่าแม่เขาไม่ให้กินนมตัวเล็กมาก meepole ก็เอาตัวมีปัญหา สงสารเขาอีกตัวจนท.เลี้ยงเองเจ้าหนูนี้ชื่อ wawa น่ารัก หวงของ อยู่ที่กุฎิพระอาจารย์จนปัจจุบัน มีคนเอา ท่องโก๋ มาทิ้งที่วัด ก็เลี้ยงอย่างดี ส่งเข้าโรงเรียนฝึกหมา กลับมาตั้งท้อง เอาไปให้หมอทำคลอดตายทั้งแม่ลูก 8 ตัว (ไม่อยากนึกถึง) ตอนนี้ที่บ้านมี 5 ตัว ken larna yiching (หมาหลงวิ่งกลางถนน)  chabu2  pote' ตอนนี้เหลือ 4 ตัว เจ้า ken เป็นบอกเซอร์ตายเพราะโดนลูกงูเห่ากัด แล้ว meepole ไม่รู้ว่าถูกกัดเพราะเขากัดงูเก่งมากร่วมมือกับเจ้า larna (พิทบูล) กัดมาเยอะแล้ว ที่พลาดเพราะเพิ่งเอา pote' มาเลี้ยงเขาเลยไปวุ่นวายผิดคิว เสียใจมาก larna ซึมไปเป็นเดือนเขาคู่หูกันจริงๆ เพราะชีวิต meepole คลุกคลีกับหมา เลี้ยงหมาด้วยความเข้าใจ เขาไม่ไช่ของประดับบ้านหรือแก้เหงา แต่เป็นเพื่อนที่ดี เลี้ยงแบบเอาใจหมามาใส่ใจคนเลยทีเดียว พูดคุยด้วยตลอดเวลา ตอบสนองทุกอาการที่มันแสดง จนเป็นประเภทมองตาก็รู้ใจ

ที่พยายามเขียนมายาวยืดเพื่อบอกว่า meepole เข้าใจหมา ขอยืนยันว่าหมาเป็นสัตว์ที่มีความรู้สึก มีความคิด มีจิตใจ และมีความต้องการความรักความเอาใจใส่เช่นเดียวกับคน และเขามีเมตตา มีความเอื้อเฟื้อ และช่วยเหลือกันและต่อเพื่อนร่วมบ้าน เช่น กบใหญ่บางตัวที่อยู่กระถางหน้าบ้านอยู่จนเป็นมิตรต่อกันไม่ไล่บี้ เวลาเดินออกมาหาอาหาร หรือชมจันทร์ตอนหัวค่ำ ชนิดเดินผ้านหน้าเกือบเฉียดจมูกเจ้า larna (อาจเคยประลองจับมาแล้ว แต่รอด จนเลิกแล้วต่อกัน) เพราะเอาใจใส่เขาจึงรับรู้เวลาเขามานั่งประท้วง (มา pack คู่  larna & Yiching) เพราะเป็นเวลาอาหาร รักษาเวลามากๆๆๆๆ ตรงเหมือนเป็นนาฬิกาซะเองยังงั้น ตัวใหญ่ไม่กัดตัวเล็กไม่ว่าจะแย่งคิวขนมกัน เพราะทุกตัวจะได้กินเหมือนกันแม้ว่าไม่เท่ากัน

ดังนั้นเมื่อช่วงนี้มีข่าวการช่วยเหลือสุนัขจากแก๊งค้าสุนัขข้ามชาติล่าสุด ( สืบเนื่องจากกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าช่วยเหลือสุนัขเกือบ 2,000 ตัว ขณะเตรียมลำเลียงผ่าน จ.นครพนม ส่งไปขายที่ประเทศเวียดนาม เพื่อไปเป็นเมนูเปิบพิสดาร)  meepole เศร้าใจ หดหู่ใจ  ..ทำหมาลงคอได้ยังไง?? .คนไทยไม่แล้งน้ำใจ มีผู้ใจบุญให้ความช่วยเหลือบริจาคเงินตอนนี้ยอดถึง 21 ล้านแล้ว และมีอาหารเป็นจำนวนมาก และก็ยังคงบริจาคเพิ่มเรื่อยๆโดยมีรองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานกองทุน และสิ่งที่คาดเดาโดยไม่ต้องแปลกใจก็เกิดขึ้น เมื่อมีข่าวว่า  การบริหารเงินกองทุนช่วยเหลือสุนัขไม่คล่องตัว ทำให้การเบิกจ่ายเงินเพื่อจัดซื้ออาหารและวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นในการรักษาสุนัขไม่ทันการณ์ โดยบางครั้งเจ้าหน้าที่ต้องสำรองจ่ายเงินไปก่อนแล้วจึงนำใบเสร็จมาเบิกทีหลัง” หรือข่าว

อาสาฯ ร้องปรับแผนดูแลสุนัขที่ด่านกักกันนครพนม หลังเบิกจ่ายเงินได้ล่าช้า ขณะที่สุนัขยังทยอยตายอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเหลือ 881 ตัว เหตุไม่คุ้นอาหารเม็ด....

และข่าวการประท้วงของผู้ค้าสุนัขที่บอกว่าเป็นอาชีพสืบทอดเลี้ยงชีวิตมานานนม และการจับครั้งนั้ทำให้พวกเขาขาดรายได้เป็นหลักแสนหลักล้าน ให้เอาเงินกองทุนนั้นมาช่วยเหลือพวกตน ...........ก็อาจทำให้เลิกอาชีพได้??

คนเรานี่ก็แปลกมีใจอ่อนไหว ต่อเงินง่าย ไม่ว่าเงินนั้นให้ช่วยหมา เพื่อหมา คนก็ขอเอี่ยว  ขอให้มีเงินอย่างเดียวสร้างปัญหาได้ทุกเรื่อง เรื่องดีกลายเป็นร้าย เรื่องกุศล เป็นอกุศล เรื่องมงคลก็กลายเป็นยุ่งยาก


ไม่ว่าจะ ด้วยอะไรก็ตาม จะบอกว่าเห็นใจคนขายหมาก็พอเข้าใจเขา แต่ก็สงสารหมา ในวัฒนธรรมของไทยเรา ยังไงหมาก็ไม่ไช่อาหารของคนไทย คนไทยมีจิตใจเมตตา เอื้ออารี เราเลี้ยงหมาเป็นเพื่อน เป็นมิตรในบ้าน เรายอมรับว่าหมาเป็นสัตว์ที่ซื่อสัตย์ รัก ห่วง และหวงเจ้าของ  มีการตอบสนองต่อผู้เลี้ยงมากกว่าสัตว์อื่นๆที่นอกเหนือจากสัญชาติญาณ


ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุเช่นนี้ทั้งสามฝ่ายคือ ผู้ขายหมา เจ้าหน้าที่บ้านเมือง และแบบเราๆคือชาวบ้านผู้รักหมา คงต้องหาทางออก แต่คงเป็นทางออกที่ยากแก่การยอมรับของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแน่นอน จริงๆเรื่องนี้ meepole เองมีคำตอบของตัวเองในใจ แม้จะเป็นไปไม่ได้แต่ภาวนาให้เกิดปาฎิหารย์  เพราะไม่ว่าคนจะหาทางออกอย่างไรในกรณีนี้ได้  แต่สุดท้ายกรรมก็ยังตกกับหมาอยู่ดี หากประเทศเรายังไม่มีการเอาใจใส่ออกกฎหมายการจัดระเบียบ การเป็นเจ้าของสุนัข เหมือนอารยประเทศ ปัญหาหมาจรจัดเกลื่อนเมือง หมาที่เจ้าของหมดรัก หมดปัญญา แล้วทอดทิ้งไว้เป็นภาระกลางถนน จึงไม่รู้จบ ในขณะที่บางประเทศและหลายๆประเทศไม่มีหมา side road เหลือให้ก่อกรรมเช่นนี้  คิดแล้วเศร้าจริงๆ (จริงๆคิดแล้วอยากเป็นรมต.กระทรวง...จะออกกฎระเบียบช่วยหมา เอ! น่าจะใช้หมาเป็นเครื่องมือหาเสียงนะเนี่ย คงได้หรอก หุ หุ)







Thursday 1 September 2011

ถึงบอกให้ก็ไม่รู้หรอก


"ถึงบอกให้ก็ไม่รู้หรอก..
มันเหมือนนกที่อยากรู้เรื่องของปลาในน้ำ
ถึงปลาบอกความจริงว่า……
อยู่ในน้ำเป็นอย่างไร
นกก็ไม่มีทางจะรู้ได้
ตราบใดที่นกยังไม่เป็นปลา
พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
วัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี


อันนี้ใช้เป็นข้อเตือนใจในหลายๆเรื่องได้ แต่ที่สุดคือ ...
จะรู้แจ้งเข้าใจในเรื่องอะไรอย่างจริงแท้ต้องมาจากการได้ปฎิบัติเอง เท่านั้น

ดังนั้นเมื่อเราโชคดีที่ได้อุบัติเป็นมนุษย์ในชาตินี้
 หากจะพยายามเรียนรู้ถึงแก่นของชีวิตที่แท้
 ทำชีวิตให้คุ้มกับที่ได้โอกาส
 รีบหาเวลาบำเพ็ญเพียรในการที่จะละวางกิเลส
มีสติอยู่กับลมหายใจเข้าออกของตัวเอง
ฝึกจิตเป็นสมาธิได้ ค่อยๆทำไป 
พยายามรักษาเวลาในขณะปัจจุบัน ให้เป็นกุศลเสมอ........
ก่อนที่เราจะไม่มีลมหายใจเข้าออกอีก