Monday 30 May 2011

กังวล วนเวียน ไปทำไม?

กังวล วนเวียน ไปทำไม?




วันนี้ขณะ meepole ขับรถคนเดียวกับเจ้าชาบูซึ่งหลับสบายบนเบาะด้านข้าง เจอปาด เอ้ย! รถปาดหน้า เป็นระยะๆ ทั้งๆที่เราก็ประมาณ 100 km/hr เหมือนกันไช่ว่าคลาน แต่มีคนรีบเร่งกว่า meepole เลยหลบเข้าเลนใน ลดความเร็วลง แล้วก็สบายขับเรื่อยๆไม่เจอปาด  ก็เห็นแต่ปาด ป้าด ไป ป้าดมา! กับรถคันอื่นๆเป็นระยะๆ ที่ช่องด้านขวาแทน เรื่องแซงเป็นเรื่องปกติของการขับรถ ใครรีบก็แซง แต่ปาดนี่เป็นมรรยาทที่แย่ของการขับ เพราะระยะกระชั้นพรวดพราด หักกลับเข้ามา คันหลังชลอทันก็โชคดีทั้งสองฝ่าย ไม่ทันก็โครม และคันหลังส่วนมากจะโดนข้อหาผิดตามระเบียบ ยิ่งวันชีวิตในชนบทก็เปลี่ยนไป เข้าใกล้เมืองกรุง ที่ๆมีความเจริญทางวัตถุมากขึ้นทุกที ความมีน้ำใจลดลง ชีวิตรีบเร่ง ทำเวลา การคิดแบบ ช่างเถอะ!! ก็น้อยลง นี่เป็นแวบหนึ่งที่คิดขึ้นมาขณะเห็นมนุษย์ปาด

อีกครู่หนึ่งขณะ รอไฟเขียว (ดีกว่ารู้สึกว่าติดไฟแดง ลองเอาไปคิดดู ใช้ดูนะคะ บอกเพื่อนในเมืองกรุงหลายคน เขาบอก กลับมาหลังจากลองคิดใหม่ว่า เออ! ไม่น่าเชื่อ รู้สึกดีขึ้นจริงๆ) เกิดคิดนึกเรื่องนึงขึ้นได้ ก็กังวลเล็กๆ แวบเดียวก็บอกตัวเองว่า ตลกน่า ! กังวลทั้งๆที่ ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร และถ้าสิ่งนั้นไม่ว่าเป็นอะไร มันก็เกิดขึ้นแล้ว และหากมันเกิดแล้ว มันก็ตั้งอยู่ มีอยู่ ไม่ต้องกังวล กังวลไปก่อนทั้งๆที่ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร หรือสิ่งนั้นดีหรือไม่ดีก็ไม่ทราบได้ ดังนั้นติดไปก็ไร้สาระ พบเจอแล้วค่อยว่ากันในเวลานั้นๆ เลยหยุดคิดกังวลได้ในทันที เพียงบอกตัวเองว่า ไร้สาระที่กังวลล่วงหน้า

เมื่อวานได้ดูเรื่องเจ้าหญิงอัตสึ ตอนหนึ่งที่โชกุนพูด ชอบเลยจดไว้ เป็นเรื่องที่อัตสึบ่นกังวลล่วงหน้าว่า จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปอีก..โชกุนก็พูดทันทีว่า

เรื่องยังไม่เกิด จะวิตกไปก่อนทำไม เราควรมาคิดกันว่า
ตอนนี้เราจะทำอะไรกันดีกว่า

ดังนั้นใครชอบคิดล่วงหน้าในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง หรือแม้ว่าเป็นเรื่องก็เถอะ หากคิดไปแล้ว แก้ไขอะไรในเวลานั้นไม่ได้ นอกจากเครียดขึ้น กังวลมากขึ้น ก็ลองหยุดคิดสักนิด ถอยออกมาจากตรงนั้นสักขณะจิต จะรู้สึกดีขึ้น และอาจทำให้อะไรๆ ไม่แย่อย่างที่กังวลนะคะ

Sunday 29 May 2011

ศิษย์เก่าดีเด่น...  ? ดี ?



เมื่อคืนไปร่วมงานรวมศิษย์เก่าโรงเรียนแห่งหนึ่งที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรก เป็นครั้งที่สองที่ไปร่วมงานสังสรรค์ศิษย์เก่า เพราะเพื่อนรุ่นนี้บางคนไม่เคยเจอกันมากว่า 40 ปี (อย่านึกถึงอายุเลย) เพื่อนจากกรุงเทพ กระบี่ อุตส่าห์มา เราอยู่ที่นี่แท้ๆไม่ไปไม่ได้ ชอบคบเพื่อนในระดับชั้นประถมมาก เพราะยังมีภาพเด็กๆฝังใจกันอยู่ กลุ่ม meepole จัดได้ 2 โต๊ะ ชาย หญิง รวม 16 คนพวกเราที่นัดๆกัน มีจุดประสงค์ง่ายๆ อันเดียวกันคือ อยากเจอ คิดถึง อยากรู้ความทุกข์ สุข ของเพื่อนๆ ทุกคนจึงไม่สนใจกิจกรรมอะไรนัก นอกจากคุยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แบบนกสาวๆแตกรังกันเลย

 มีการแจกหนังสือที่ระลึกเล่มเล็กๆ ก็เปิดดูกันมีเสียงอุทานหนึ่งเสียง หลังจากนั้นหลายคนก็เปิดกันรวมทั้ง meepole ด้วยจำไม่ได้ว่าเสียงใครว่าอย่างไร แต่ที่แน่เสียงตัวเองคือ 555 เดี๋ยวคอยดูคนรับดีกว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นคนมาแจกรางวัล เพราะหนึ่งในรุ่นเราได้รับด้วยเป็นคนดังระดับประเทศ แทบไม่มีใครที่โตแล้วจะไม่รู้จักนามสกุลนี้ก็แล้วกัน พอรับเสร็จก็ถือลงมา แล้วถือส่งให้พวกเราดู (แต่ไม่มีใครรับมาดูกัน เพราะพวกเราเพื่อนกันรู้กัน ขำอย่างเดียว) เพื่อนคนนั้นก็เลยอ่านให้ฟังพร้อมหัวเราะว่า" เอ้ย!ฟังนะเขาเขียนว่าเราตั้งใจเรียนว่ะ" เสียงตะโกนตอบว่า เออ! ตั้งใจเรียนมากเลยชั้นล่ะ 2 ปี พวกเราก็เฮ เหมือนเด็กอีกครั้ง เขาก็พูดต่ออ่านซ้ำให้ฟังอีก แล้วก็หัวเราะเพราะเขาก็รู้ตัวและบอกว่าโดดเรียนตลอด แต่ตั้งใจเรียน เฮ! หลังจากนั้นเป็นการเมาท์ต่อ ว่าให้ดูคนที่ได้รับเชิดชูเกียรติครั้งแรกของการจัดงานเป็นตัวอย่างนะ ว่าเป็นนายกเทศมนตรี เป็นสท. เป็นตำแหน่งที่เกี่ยวกับการเมืองท้องถิ่นหลายคน เป็นกรรมการกาชาดจังหวัด เป็นนักจัดรายการวิทยุท้องถิ่น เป็นเจ้าของกิจการ เอวัง! เป็นประวัติดีเด่น ที่ง่ายๆดี หุหุ เป็นตัวอย่างที่ดี?? ไว้ให้คนรุ่นต่อไปที่อยากเป็นศิษย์เก่าดีเด่น ไม่ต้องทำอะไรมาก เล่นการเมือง บริจาคให้เห็นบ้าง มีช่องพูด สื่อของตนเอง (นี่เป็นข้อสรุปของโต๊ะ เพราะทุกคนรู้แก่ใจ) รางวัลนี้เลยไม่มีใครให้ค่า หัวเราะอย่างเดียว เพราะเป็นเรื่องปกติของสังคมไปแล้ว

 แต่ลึกๆ meepole รู้สึกเศร้าใจกับการให้ค่านิยมที่ผิดผิด ยกย่องกันไม่ตรงจุด ประเพณีที่เริ่มจะเป็นตัวอย่างของรุ่นต่อไปว่า ศิษย์เก่าดีเด่น คือ มีอะไรที่ดีเด่น ??? และคนที่เห็นแบบอย่างนี้หรือ คือคนดีที่ควรทำตาม ของสังคม(ในเมื่อคนรับบางคนก็รู้อยู่แก่ใจ และบ้างคนที่รับ ก็ไม่รู้ว่าทำไมจึงได้ดีเด่น) แล้วเด็กรุ่นหลังหรือลูกหลานเรา จะให้ดูแบบอย่างที่ใหน??

แต่ที่แน่ๆคือ ศิษย์เก่าหลายๆคนที่เป็นคนดี ซื่อสัตย์สุจริต อยู่อย่างสมถะไม่เบียดเบียนใคร ไม่แสวงหาผลประโยชน์ใดๆในตำแหน่ง  บางคนทำงานอย่างเหนื่อยยากลำบากจริงๆ ได้เงินมาอย่างสุจริต มันดี แต่ไม่เด่น เนาะ!!!!!

Saturday 28 May 2011

จรรยาบรรณ...ใครมี??





วันนี้ไปช่วยสอนบรรยายหัวข้อ การทำวิจัยวิทยาศาสตร์ให้นักศึกษาสิ่งแวดล้อม ตอนหนึ่งบอกเขาว่า การที่คุณจะเริ่มหาหัวข้อวิจัย หรือคิดหัวข้อวิจัย ก็ต้องเริ่มจากมองเห็นปัญหา คิดอยากจะหาคำตอบ หรือแก้ปัญหานั้นๆ  ไม่ไช่เพราะเห็นเงิน เห็นงบ เลยรีบกันคิดหาเรื่องทำวิจัยเหมือนที่เป็นอยู่ในบางมหาวิทยาลัยที่เห็นงบวิจัยเหมือนขนม  เขียนขอเป็นโครงการใหญ่ ข้างในกลวง ได้มาก็เอามาแบ่งเค้ก ตามหาล่าคนทำ บังคับให้เขียนโครงร่างส่ง บางครั้งก็กลับกัน เร่งให้เขียนเพราะสืบได้ว่ามีเงินตั้งรออยู่  แล้วมีชื่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องสำรองตั้งไว้ เป็นชุด ไว้เป็นที่ปรึกษามีส่วนเกี่ยวข้อง  บางคนเก่งมากเขียนได้ทุกอย่าง ทุกเรื่อง หาข้อมูลคืนเดียวเสร็จ คนเก่งแบบนี้มีเยอะ  บอกเด็กว่าการทำวิจัยแบบนี้ไม่เรียกว่า นักวิจัย หรือนักวิทยาศาสตร์ เขาเรียกว่าเป็น กระสือ หรือ เปรต มากกว่า (ปากว่าแรงไปนิด แต่ถ้าพอเข้าใจ จะนึกออกว่า มันน่ารังเกียจจริงๆ ไม่ควรทำและต้องสอนไม่ให้เด็กรุ่นต่อไปทำในสิ่งไม่ถูกต้องด้วย)

 ที่น่ารังเกียจกว่าคือระดับบริหารบางคนที่ใช้วิธีการหากินกับโครงการจากมหาวิทยาลัยอื่นที่ให้ทุนระดับปริญญาโท มาปีละประมาณ 10 ทุน ทางมหาวิทยาลัยที่ต้องการเงินและผลงาน ผู้บริหารก็บังคับบ้าง แกมบังคับบ้าง ให้อาจารย์รับนศ. แล้วใส่ชื่อผู้บริหารเป็นที่ปรึกษาร่วม เพราะทุกตำแหน่งมีเงิน อาจารย์ดร.ใหม่ รวมทั้งนศ.ที่ไม่เคยทราบประเพณีทำนาแบบนี้ก็เลยมาถามเพราะเขาคิดว่าเขามีสิทธิที่จะเลือกที่ปรึกษาร่วมเองได้ แต่ผู้บริหารคนนั้นบอกว่าต้องใส่ชื่อเขา เพราะเขาจะช่วยขอทุน และเขาเป็นผู้เซนต์อนุมัติด่านแรกของที่นี่ อึ้งกิมกี่ ?? แถมรายนี้มีชื่อเป็นที่ปรึกษาปริญญาโททุกปี แต่ไม่มีเวลาให้ ขอมีเอี่ยวเฉพาะชื่อ นศ.ทนไม่ไหว ไปปรึกษาอาจารย์ท่านอื่นแต่อยู่คนละสาขา ก็เลยช่วยโดยการติดต่ออจ.ที่เคยเป็นลูกศิษย์ที่ม.แม่ฟ้าหลวง ให้ช่วยดูงานวิจัยให้ จนจบ พอตีพิมพ์ ต้องเอาชื่อของผู้บริหารคนที่ไม่ช่วยอะไรนี้ใส่ด้วย และน่าปลื้มมากที่ผู้บริหารคนนี้เอางานตีพิมพ์ของนศ.ที่ตนเองเอี่ยวเฉพาะชื่อไปโชว์ ประกาศว่าเป็นผลงานผม แต่จุดไต้ตำตอเพราะเขาไมรู้ว่าเรื่องนี้ในภาควิชาเขารู้กันหมดเพราะนศ.ป.โทจบแล้วเขาก็เล่าไปทั่ว และตอนนี้เขาก็เริ่มทำกับเหยื่อที่เป็นลูกศิษย์รุ่นต่อไป เผื่อสะสมผลงานขอระดับศาสตราจารย์ต่อ (อยู่เมืองไทยคงได้หรอก เพราะกรรมการประเมินส่วนมากจะดูแต่อักษร หุ หุ) เลยไม่แปลกใจ แต่อนาถใจมากกว่ากับวงการวิจัยไทยที่เห็นเงินเป็นตัวตั้ง จนลืมสำนึก ไม่ละอาย ทำตัวไม่มีศักดิ์ศรี  ไม่มีจรรยาบรรณ ในตำแหน่งวิชาการที่ตนมีอยู่เลย และเป็นแบบนี้มากเสียด้วยในที่แห่งนี้ ประเทศไทยเลยไม่สามารถพัฒนาอะไรๆดังที่หวังได้มากนัก ไม่คุ้มกับงบที่ลงทุนให้กับงานวิจัยมากมาย เพราะตอนนี้นักวิจัยมืออาชีพหายาก มีแต่นักทำงานวิจัยเป็นอาชีพ ปีละ5 งานก็อิ่ม เลี้ยงตัวสบายๆ

 สงสารประเทศไทยที่ให้งบประมาณ เงินแผ่นดิน ภาษีของคนไทยสำหรับงานวิจัยหลายร้อยล้านต่อปี แต่ไม่กลับมาเป็นอะไรที่เป็นชิ้นอัน ที่จะส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือด้านอื่นๆที่จะต่อยอดพัฒนาอาชีพได้คุ้มค่าเลย แล้วเรื่องนี้ใครจะสนใจ เพราะใครๆก็ธุระไม่ไช่ทั้งนั้น และรับรองได้ว่าเรื่องเหล่านี้ยังคงมีต่อไปในวงการศึกษา และมีมากขึ้นๆเสียด้วย 

นั่นคือหัวชื่อเรื่องที่ตั้งไว้ ว่าตอนนี้มีใครที่มีจรรยาบรรณ ...บ้าง ช่วยรักษาไว้ให้ดี  เป็นของหายากแล้ว แม้ว่าจะกินไม่ได้ แต่ไม่ทำให้ยากจนและไม่ตกยากหรอก  อย่างน้อยในวงศ์ตระกูล พ่อแม่ที่เลี้ยงเรามาหากมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ตาม คงดีใจ ภูมิใจหากรู้ว่าไม่มีลูกหลานเป็นนักวิชาการ เป็นครู เป็นอาจารย์ โกงได้กระทั่งเงินแผ่นดิน กินได้กระทั่งเงินวิจัยของลูกศิษย์ตน กรรมแท้ๆ

Wednesday 25 May 2011

ประมาทไปหรือเปล่า ??

ประมาทไปหรือเปล่า ??




เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา (20 พฤษภาคม) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือ สวทช. ร่วมกับบริษัทศูนย์วิจัยนวัตกรรมอินเทอร์เน็ตไทย จำกัด ได้เปิดเผยผลสำรวจพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตของคนไทยในปี พ.ศ.2553 ที่ผ่านมา โดยพบว่า


คนไทยใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นกว่าปีก่อน 20 ล้านคน กว่า 32.1% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นนักเรียน นักศึกษา

สำหรับเว็บไซต์ที่มีผู้นิยมเข้าชมมากที่สุดเมื่อแบ่งตามหมวดนั้น อันดับ 1 38.41% เป็นเว็บไซต์ในหมวดบันเทิง ตามมาด้วย 12.64% เกมส์ออนไลน์  ส่วนเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยมต่ำที่สุด กลับเป็นเว็บไซต์ด้านสุขภาพที่ได้รับความนิยมเพียง 0.26% เท่านั้น
ไม่ทราบว่าผู้ที่เข้ามาอ่านในนี้ อ่านข้อมูลดังกล่าวจบแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง แต่ meepole อ่านแล้วรู้สึก "เซ็ง" แม้ว่าไม่ได้แปลกใจมากนักกับข้อมูลดังกล่าว แต่ก็อดเป็นห่วงอนาคตของประเทศชาติไม่ได้  ที่คนรุ่นหลัง มีค่านิยม ติดอยู่ในโลกบันเทิง ดารา นักร้อง ตามสมัครเป็นแฟนคลับตามติด เป็นห่วงใยเฝ้าไปทุกที่ เอาใจใส่ยิ่งกว่าพ่อแม่อีก บอกอะไรทำตามหมด วันเกิดดารา นักร้องที่รักคนไหน ซื้อดอกไม้ ตุ๊กตาไปให้  วันเกิดพ่อแม่ตัวเองไม่แน่ใจว่าจะจำได้ไหม หรือเลือกซื้อของไปมอบให้พ่อแม่ ผู้มีพระคุณกันบ้างไหม  สื่อที่ออกก็จัดรายการสารพัดบันเทิง ประกวดทุกรูปแบบ เยาวชนก็ไปหมกมุ่นติดตามกันจนไม่ต้องทำอะไร เหตุผลการจัดดูดี ถ้าไม่ต้องคิดอะไร คือส่งเสริมการแสดงออก  ความมั่นใจในตัวเอง ความกล้าหาญ หากเอาเรื่องเหล่านี้มาใช้กับการใส่ใจศึกษาเล่าเรียน หาความรู้ในวัยที่สดใส เช่นนั้นก็คงดี น่าเสียดายนัก ที่ไม่มีใครเอาใจใส่กับปัญหาเยาวชนของชาติอย่างจริงจัง เพราะต้องคอยระวังตำแหน่ง ปากท้องของตัวเองให้ดีก่อน เรื่องนี้ก็คงกรรมของใครก็ของคนนั้น

หากข้อมูลข้างต้นถูกสำรวจมาด้วยวิธีการที่ถูกต้องแล้วล่ะก็ (เพราะไม่มีข้อมูลดิบว่าสำรวจจากจำนวนประชากรเท่าใด ช่วงอายุเท่าไร อาชีพอะไร) จะเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงเลยทีเดียว  นอกจากค่านิยมที่จะบั่นทอนตัวเองแล้ว ยังไม่มีความเอาใจใส่ในสุขภาพ คือไม่เอาคุณภาพชีวิต อันนี้ไม่ทราบว่าเป็นเพราะไม่คิดอะไร อายุยังน้อย ยังแข็งแรงอยู่ หรือไม่มีความเอาใจใส่ ประมาทในชีวิต ในครอบครัวไม่เคยพูดคุยกันหรือเป็นห่วงกันในเรื่องสุขภาพ หลายเหตุผลที่คิดได้ ของแบบนี้บังคับกันไม่ได้ หากไม่ถึงเวลา แต่เมื่อถึงเวลาก็มักเป็นเวลาที่เราบอกว่า กว่าจะรู้ตัว ก็สายเสียแล้ว 

 แล้วคุณล่ะคะ เริ่มจะหันมาค่อยๆเอาใจใส่ เรื่องราวที่เกี่ยวกับสุขภาพ คุณภาพชีวิตกันหรือยัง เพื่อจะให้เราสามารถอยู่บนโลกนี้ไม่ว่านานหรือไม่นาน แต่เปี่ยมด้วยสุข ที่ไม่ต้องอาศัยยา และอาหารเสริมวันละไม่ต่ำกว่า 10 เม็ด  หากเริ่มสนใจบ้างก็ค่อยๆหาอาหารสมองอ่านเรื่องที่เป็นปรโยชน์ อาจลองเริ่มต้นกันที่นี่ก่อนก็ได้นะคะ :)   ขอบอก..... http://meepole.blogspot.com/

Saturday 21 May 2011

ห้องสมุดที่แปลก... แต่มีจริง

ห้องสมุดที่แปลก... แต่มีจริง




เมื่อวาน meepole เข้าไปในมหาวิทยาลัยราชภัฎภาคใต้ตอนบนแห่งหนึ่ง แวะเข้าห้องสมุด หาวารสารเก่าไม่มี จะหาหนังสืออ้างอิงไม่พบห้องหนังสืออ้างอิง เลยสอบถาม ทำให้รู้เรื่องแปลกแต่จริง (เศร้า) ของมหาวิทยาลัยเพื่อท้องถิ่นแห่งนี้ ว่า

1. ห้องหนังสืออ้างอิงถูกยกเลิก ไม่มีแล้วตั้งแต่เทอมก่อน โดยเอาหนังสืออ้างอิงทั้งหมดเกลี่ยลงไปตามหมวดหมู่ต่างๆของหนังสือปกติ ต้องหาเอง และหนังสือหลายเล่มที่เขาให้มาพิเศษในโอกาสต่างๆที่เราไม่ทราบซึ่งเดิมจะเข้าไปหาอ่านเสริมสมองช่วงไกล้เปิดเทอม ตอนนี้ไม่รู้แล้ว เพราะกระจายหมด ต้องรู้ชื่อจึงหาได้

2. วารสารเก่าปีก่อนๆหาไม่เจอ เพราะเอาไปชั่งกิโลขาย เมื่อปิดเทอมที่ผ่านมานี้เอง กระดาษสีขายกิโลละบาท เสียดาย "บ้านและสวน" เล่มละร้อยบาท ร้านขายของเก่ามาซื้อคงตกเล่มละ 1บาท 50 สตางค์ วารสารย้อนหลังหายหมด ถามหา "สารคดี" เพราะจะหาเรื่องสิ่งแวดล้อม ชั่งไปหมดแล้ว แต่จนท.บางคนบอกว่าให้ไปตามห้องสมุดต่างๆบ้าง แม้กระทั่งเล่มที่เย็บเข้าเล่มก็ขายไป หรือให้ ?? ก็ตามแต่ เศ้ราใจจังแล้วนักศึกษาจะค้นคว้าทำรายงานย้อนหลังได้อย่างไร (มีบางเล่มที่เหลือย้อนให้ 3 ปีสูงสุด)

3. ยกเลิกการใช้ชั้นวางวารสารแบบเก่าที่เป็นชั้นเหล็กสี่ชั้นสำหรับวางวารสารจริงๆคือ มีช่องข้างหลังใส่วารสารย้อนหลังได้  เพราะได้สั่งทำหิ้งไม้เตี้ยสองชั้น เกาะรอบแนวฝาทั้งสี่ด้านรอบห้องสมุด ไว้คุกเข่า หรือยองๆ ก้มหา ไต่หาตามตัวอักษรไปรอบห้อง ไม่มีระดับมหาวิทยาลัยไหนเขาทำกัน สาเหตุเพราะหิ้งสูงบังทัศนียภาพภายนอก และเอาลูกกรงที่ติดหน้าต่างออกหมดด้วยเหตุผลเดียวกัน

4. เสี่ยงต่ออันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ  จากการที่เอาลูกกรงที่ติดหน้าต่างออกหมด ทำให้ต้องยึดปิดตาย(อ็อก)หน้าต่างให้ไม่สามารถเปิดได้  ถ้าไฟดับก็ตัวใครตัวมัน มลพิษจากกระดาษคงลอยไปมาในห้องสมุด จำนวนผู้ที่เข้าไปใช้ห้องสมุดที่มากบางคนเป็นหวัด บางคนเป็นโรคอันตรายอื่นที่ติดต่อได้ทางลมหายใจ อากาศไม่มีการการถ่ายเทที่ดีพอ เพราะไม่มีพัดลมดูดอากาศ นับว่าอันตรายจริงๆ
ส่วนชุดโต๊ะไม้ที่เหมาะเป็นโต๊ะทานอาหาร ถูกซิ้อเอามาจัดวางเรียบร้อยมากมาย ให้อ่านหนังสือ ดูแปลกดี ดีใจกับร้านค้าที่ได้เงินไปนะ ขอให้รวยๆ

ถามเขาว่าทั้งหมดเป็นความคิด วิสัยทัศน์ ข้อเสนอ ของใคร ก็บอกว่าของผอ.และรองผอ.สำนักวิทยบริการ (จบด้านคอมพิวเตอร์)  ก็ถามว่าไม่มีใครเสนอแนะเลยหรือไง ก็ทราบว่าเรียกบรรณารักษ์ไปสั่งการ  เอวังก็มี ทั้งหมดก็แค่นี้  คนมีความรู้ ต้องมีปัญญาควบคู่ และมีมโนธรรมกำกับ จึงสามารถทำหน้าที่ในตำแหน่งที่รับผิดชอบ ในสิ่งที่ถูกต้อง เหมาะสม และจิตสำนึกที่นึกถึงประโยชน์ส่วนรวม (นักศึกษา) เป็นที่ตั้ง เรื่องเช่นนี้ก็คงไม่เกิด

และที่สำคัญวิสัยทัศน์ผู้บริหารระดับบนเป็นสิ่งสำคัญ หากไม่เข้า แวะเยี่ยมดู ฟัง หรือเข้าใจงานของห้องสมุด ที่เป็นหัวใจของสถาบันการศึกษาแล้วล่ะก็....ชัดๆ 

ว่าแต่ ใครพบเห็นห้องสมุดระดับมหาวิทยาลัยที่ใหน แปลกแบบนี้ช่วยแจ้งให้ทราบด้วย จะได้ไม่เชย เพราะกำลังคิดว่ามีห้องสมุดที่แปลก... แต่มีจริงแห่งเดียวนี้ รึเปล่า ??


Friday 20 May 2011

เป็นเพียงอีกความคิดของ.. Meepole..ขอไม่เบิก


ที่มาภาพ: massagebymens.gagto.com

หลังจากนั่งทำงานกับคอมพิวเตอร์มานานจนร่างกายเริ่มประท้วงว่า นั่งนานเกินไป แต่ก็ยังชอบที่จะนั่งเขียนๆๆ หน้าจอ เตือนคนอื่น รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่ดี ต้องเปลี่ยนอิริยาบทบ้าง ซึ่งก็ได้ทำตลอดแต่มันคงเป็นเพราะนั่งนานเกิน 8 ชั่วโมงในแต่ละวันโดยเฉพาะปิดเทอม มีความสุขกับการเขียน ในบ้านที่สงบ สบายๆ จนอาการเจ็บบ่า จากการพิมพ์งานเขียน (จิ้มดีด) มากขึ้น เลยยอมแก่ ไปหาแพทย์แผนโบราณนวดให้ ประคบด้วย ตอนกรอกประวัติเพื่อตรวจ สอบถามอาการโดยนศ.ฝึกงานจากมหาวิทยาลัยรังสิต คำถามสุดท้ายคือ "ทำเบิกไหมคะ"  ก็บอกเขาว่า "ไม่เบิกค่ะ" เขามองหน้าอมยิ้ม แล้วบอกว่า "นวดก็เบิกได้นะคะ ครั้งละ 350 บาท ได้สัปดาห์ละ 3 ครั้ง" ก็ยืนยันว่าไม่เป็นไรค่ะ ยังจ่ายเองได้อยู่ ไม่ต้องเบิก

การเขียนบันทึกนี้หากเผอิญใครมาอ่านเจอก็อย่าได้เข้าใจผิดเพราะไม่ได้มีเจตนาจะอวดอ้างอะไรทั้งสิ้น หากจะมีก็เพียงบันทึกถ่ายทอดความคิดที่ถูกปลูกฝังมา เผื่ออาจมีใครคิดเช่นนี้  เพราะในอดีตเรื่องเบิกค่านวดไม่มี มีแต่เจ็บป่วยไปโรงพยาบาลเบิกค่ารักษาพยาบาล ซึ่งไม่ว่าค่าอะไรก็ตาม ก๋งและยายของ meepole สอนและขอไว้ว่า

 "อย่าเบิกเลยนะ เจ็บป่วยก็จ่ายเองไป มีเงินเดือน ไม่ต้องไปเอาจากหลวง ให้หลวงมีไว้รักษาคนจนๆ ..และครอบครัวเราทำบุญไปมากกว่า ที่จะต้องมาเบิกค่ารักษาพยาบาล ไม่เบิกก็ถือว่าทำบุญให้คนอื่นๆ"

ไม่ว่าความคิดของทั้งก๋งและยายจะเป็นจริงในส่วนที่ว่า..เงินเหลือให้คนอื่นๆได้ใช้ จะเป็นจริงหรือไม่ ก็ไม่ทราบ meepole ก็ไม่อยากคิดมาก  แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ meepole ยึดเป็นสิ่งที่ปฎิบัติในการไม่เบิกค่ารักษาพยาบาล คือ

เพื่อทำให้ความตั้งใจดีของผู้ใหญ่เป็นจริง และให้ท่านดีใจ สบายใจ ที่มีคนเชื่อในสิ่งดีๆที่ท่านตั้งใจ
มีความเชื่อว่าทำอะไรที่ดีๆ ได้ทำแล้ว สบายใจ ไม่เดือดร้อนตนเอง และผู้อื่น ก็ทำ

และใครจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม จากความตั้งใจจริง สัจจะที่ตั้งไว้ ทำให้ในแต่ละปี แทบไม่ต้องมีอะไรจะต้องใช้จ่ายเป็นค่ายารักษาโรคเลย (ยกเว้น หวัด ที่เป็นกันตามเทศกาล ไม่มีทางเลี่ยง เพราะนักศึกษามากมายที่ผลัดกันเอามาแจกทุกวัน)

Monday 16 May 2011

เกิดปิติ

ปิติ..ที่เกิด





วันนี้ได้แวะไปที่วัดที่ได้ปวารณาจะสร้างกุฏิที่พักของสงฆ์ให้ เนื่องจากเป็นพระอารามหลวง อยู่กลางเมือง พื้นที่น้อยเพราะถูกล้อมด้วยตึก อาคารพาณิชย์ กุฎิได้เก่าทรุดโทรม ผุพังลง ตามกาลเวลาที่ผ่านมานานมาก (เกินห้าสิบปี) มีเฉพาะของท่านอดีตเจ้าอาวาสที่ได้สร้างเมื่อสิบกว่าปีมาแล้วหลังหนึ่ง นอกนั้นเป็นการบูรณะของเก่าเพื่ออาศัยของแต่ละรูปที่อยู่ ในส่วนของเพื่อเป็นที่พักของสงฆ์อาคันตุกะเมื่อมีกิจกรรมต่างๆนั้นยังไม่มี แต่เนื่องจากที่นี่มีการจัดประชุมคณะสงฆ์เพื่ออบรม ประชุมในระดับภาคหลายครั้งต่อปี ทำให้ต้องอาศัยที่อื่นเรื่อยมา

วัดนี้เจ้าอาวาสทุกรูปเป็นพระนักวิชาการและการปกครองทั้งสิ้น จึงไม่เคยมีการประกาศขอรับบริจาค หรือทำกิจกรรมที่มีการเรี่ยไรปัจจัยใดๆเลย  meepole และสามีจึงได้บริจาคเงิน (เป็นเงินของบุพการีที่ล่วงลับ) เพื่อสร้างกุฎิถวายไว้ในบวรพุทธศาสนา จำนวน 3 หลัง ดำเนินการสร้างโดยการรับเหมาของบริษัทแห่งหนึ่ง ที่ตกลงจะเสร็จใน 10 เดือน แต่ก็เป็นแบบที่คาดไว้คือ สร้างเกินเลยไปอีกเกือบ 6 เดือน เมื่อเสร็จก็ไม่เรียบร้อย ในระหว่างสร้างก็ต้องมีการท้วงติง (ไม่ว่าสร้างให้วัดหรือฆราวาส นิสัย สำนึกของผู้รับเหมาเหมือนกัน คือกำไรจะได้มาโดยวิธีใด ที่จะทำได้ ทำหมด สัจจะความรับผิดชอบแทบไม่มี เผลอไม่ได้) ในที่สุดก็อ่อนใจ เอาแบบดูว่าเสร็จ ไปๆเสียที ว่างั้นเถอะ!  ที่เหลือตกแต่งทางท่านเจ้าอาวาสแก้ไขเอง เพราะมาเจอข้อผิดพลาด โทรตามก็ไม่ยอมมาแล้ว.. ท่านเจ้าอาวาสจึงดูแลเองมาตลอด และจ้างคนงานเองมาเก็บงานต่ออีก เกือบครึ่งปีเช่นกัน ตอนนี้ก็เป็นรูปร่าง หลังแรกที่เร่งงานให้เสร็จก่อน ท่านพระครูศรัทธาโสภิต จากวัดคลองวาฬ ประจวบคีรีขันธ์ ได้มาจำวัดที่กุฎิหลังแรกแล้ว ด้วยความปลาบปลื้มของผู้บริจาคเป็นยิ่งนัก ได้ตั้งชื่อกุฎิทั้งสามหลังไว้แล้ว




วันนี้ได้ติดชื่อกุฎิจึงไปถ่ายรูปเป็นที่ระลึก และเมื่อตกแต่งภูมิทัศน์โดยรอบแล้ว จะถ่ายมาอีกครั้ง คงจะเป็นช่วงที่มีการฉลองกุฎิใหม่ ในอีกไม่นาน  เท่าที่เห็นมีชื่อกุฎิที่เป็นชื่อของยาย และม่าม้า ก็ปลื้มใจมาก ส่วนชื่อก๋งนั้น เป็นกุฎิหลังใหญ่ที่สร้างเสร็จแล้ว เหลือตกแต่งโดยรอบอีกเช่นกัน แต่อีกวัดหนึ่ง ยังไม่ได้แวะไปถ่ายรูป

หากเรียบร้อยในทุกสิ่งจะนำมาให้ทุกท่านที่ได้แวะเวียนเข้ามาที่มุมเงียบ Silent corner ในที่แห่งนี้ อนุโมทนาบุญร่วมกันอีกครั้งค่ะ  :)


Sunday 15 May 2011

ครูไทย..น่าเศร้าใจจริงๆ




นี่แหละที่เขาว่าอนิจจังไม่เที่ยง ยุบหนอพองหนอ  เมื่อวานดีใจ วันนี้เศร้าใจ มันขึ้นๆลงๆ แบบนี้ล่ะที่ไม่ดีต่อสุขภาพทางใจ ส่งผลทางกายด้วยถ้าเป็นแบบนี้บ่อยๆ เราจึงควรระวังใจ ทุกขณะจิต รับรู้มาแล้วรู้สึกไม่ชอบก็วาง ชอบก็รับรู้แล้ววาง ไม่ควรเป็นนักไต่เขา ไต่เขาขึ้นลงๆๆ ทั้งวัน ผู้เขียนเพียงตั้งชื่อให้สามารถนำเข้าสู่บทเขียนได้ อย่าจริงจังกับความรู้สึกมากนัก เอาสาระดีกว่า

 เมื่อเช้านี้ meepole โทรศัพท์คุยถามข่าวกับลูกศิษย์ที่บ้านน้ำท่วมจนหมดคราวที่แล้ว  แล้วถามข่าวเรื่องที่ทำงานเขาว่าเป็นอย่างไร ลูกศิษย์คนนี้เคยสอนที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในอัตราจ้างได้สี่ปี หลังจากนั้นมาสอบบรรจุได้เป็นครูโรงเรียนที่มีชั้นมัธยมขยายโอกาส เป็นโรงเรียนชนบท ที่มีเด็กนักเรียนประถมถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยปีนี้มีนักเรียนประมาณ 450 คน ลดลงกว่าเดิมประมาณ 100 คนเพราะตอนนี้ถนนเข้าถึง มีรถโดยสารรับส่งเด็กเลยไปเรียนโรงเรียนที่อาจดีกว่า แต่ไกลออกไป และตอนนี้มีครู 29 คน ผอ.ไกล้เกษียณ ที่ไม่ค่อยอยู่ หากอยู่ก็ไม่สนใจอะไร เพราะเคยเป็นครูน้อยที่แถวๆนั้น เลยรู้จักเป็นเพื่อนบ้าง เป็นรุ่นน้องบ้าง ดังนั้นเวลาที่ครูไม่เข้าสอนเพราะนั่งคุยกัน หรือถึงเวลาสอนยังนั่งคุยกัน ผอ.เห็นก็ไม่กล้าเตือน แถมบางทีเดินเลี่ยงไปอีกทาง และบางคนก็ประจบต่อหน้าหาของให้กิน ชงกาแฟ เอาอกเอาใจ ลับหลังก็นั่งสุมนินทาผอ. นอกจากนี้ที่น่าแปลกสำหรับลูกศิษย์ คือเขาบอกว่าครูพวกนี้เตรียมสอนเองไม่เป็น จะต้องรอหนังสือจากหน่วยงานส่งมา ถ้าไม่มีหนังสือก็สอนไม่ได้ meepole ก็ถามว่าแล้วเอกสารที่ใช้สอนปีที่แล้วหายไปใหน เธอตอบว่าแต่ละปีมีการเปลี่ยนแปลง เลยนั่งรอหนังสืออย่างเดียวจริงๆ (นี่เป็นกลุ่มครูเก่าที่เป็นส่วนใหญ่ในโรงเรียน อายุก็ 40 up) และขี้เกียจสอนมาก เธอไปขอให้ผอ.เปิดสายวิทย์ ปีที่แล้วมีคนเรียน 6 คน แต่ปีนี้ผอ.ไม่ยอมเปิดอีกเพราะพวกครูอื่นๆบ่นว่าการเปิดใหม่ 1 ห้องทำให้ชั่วโมงสอนวิชาเฉพาะเพิ่ม สอนเพิ่มอีกคนละเล็กน้อยก็ไม่ยอม ทั้งๆที่ชั่วโมงสอนก็น้อย ของลูกศิษย์สอน 12 คาบ บางคนก็น้อยกว่านี้ เธอบอกว่ายิ่งอยู่ความรู้ก็หดหาย กำลังใจก็หดหู่ที่เห็นครูแบบนี้ และสงสารเด็กที่หลายคนอ่านไม่ออก เขียนก็ไม่ค่อยถูก ครูไม่ใส่ใจเด็ก แต่พวกนี้ก็สอบผ่านได้เพราะครูแต่ละคนไม่อยากเหนื่อย ให้ผ่านไปเรื่อยๆ เด็กขี้เกียจก็เลยได้ดี จบทุกคน ก็เป็นปัญหาในการเรียนระดับต่อไป อันนี้ไม่แปลกแล้วตอนนี้ที่ meepole สอนนศ.ระดับปริญญาตรี ที่เขียนภาษาไทยผิดได้ถึง 50% เคยเรียกให้เขามาอ่านให้ฟังด้วย เพราะเขาสะกดคำไทยไม่เป็น มีจริงๆ

เรื่องที่เขียนนี้คงสะท้อนได้น้อยนิด ยังมีอีกมาก และคงมีโรงเรียนอื่นๆที่คล้ายๆกัน โดยเฉพาะพวกรร.ขยายโอกาสที่ไม่รู้ว่าเป็นโอกาสของใครกันแน่ ที่แน่ๆมีตำแหน่งผอ.เพิ่มขึ้น คุณภาพการศึกษาลดลงทุกปี น่าเศร้ายิ่งนัก เมื่อครูไม่ทำหน้าที่ ไม่มีสำนึก และที่สำคัญไม่มีความรักต่อเพื่อนร่วมชาติ รักชาติที่จะเห็นคนไทยด้วยกันพัฒนาตัวเอง มีความรู้

เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ เป็นเรื่องของอิฐชั้นแรก ที่ไม่มีใครใส่ใจจริงจัง แลก็เชื่อว่าคงไม่ผ่านหู ผ่านตา ของผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับวงการศึกษาที่จะเอาใจใส่กับเรื่องแบบนี้อย่างจริงจัง เพราะเรื่องพวกนี้ไม่สามารถทำให้เขาไต่เต้าสู่ระดับสูงของหน่วยงานในกระทรวงศึกษา เพราะมีเรื่องอื่นๆที่สำคัญกว่านี้เช่น การจัดตั้งทำโครงการใหญ่ๆ ระดับชาติ วางนโยบายสารพัดให้การศึกษาแข่งขันกับตปท.ได้  จัดอบรมเปลี่ยนแปลงปฎิรูปการศึกษา Big project ทั้งสิ้น จะไปสนใจอะไรกับเด็กจำนวนหนึ่งในชนบทที่จะอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ในเมื่อ เรามีตำแหน่งผอ.กระจายไปทั่ว มีรายงานกลับไปยังเขตด้วยตัวเลขที่น่าพอใจ ของบเพิ่มได้ทุกปี เพียงแค่นี้แล้วคุณว่าไม่ดีอีกหรือไง ?? 

ดังนั้นนี่จึงเป็นเรื่องเศร้า ที่ไม่ว่ายุคสมัยใหน เราจะหาคนที่มีจิตใจเป็นครู สมองมีความคิดสร้างสรรค์ มองเด็กทุกคนคือ "คน"  คนรุ่นต่อไปที่ล้ำค่าของชาติ ที่จะต้องเอาใจใส่อย่างจริงจัง จริงใจ มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้ดีใจ ชื่นใจ และทำให้อยากกอดเมืองไทยขึ้นมาบ้าง...นี่คงได้แต่ฝันไปเถอะ !!

Saturday 14 May 2011

ดีใจจริงๆ



เหนื่อยกับการจัดเตียมบ้านเพื่อสวดมงคลหลายวัน วันนี้ได้นิมนต์พระมาสวดบ้านทั้งสองหลัง ผ่านไปด้วยความสุขใจที่ได้อุทิศส่วนกุศลให้บุพการี วันนี้เย็นเลยออกไปทานอาหารเย็น (ปกติจะไม่ค่อยทานอาหารเย็น ทานแต่นม หรือโยเกิรต์) แวะซื้อสังขยาเจ้าโปรด เจอลูกศิษย์สองคนเขาเดินออกมาทักทาย (เรียกเขาว่า อึ้ง และ อุ่น) เป็นเวลายี่สิบกว่าปีไม่ได้เจอกัน ดีใจมากเพราะเป็นลูกศิษย์ที่สนิทมาก  ยืนคุยกันครู่ใหญ่ สองคนนี้เขาแต่งงานกัน ไม่มีลูกเพราะตั้งใจไม่มี ตอนนี้อยู่สมุทรปราการ ไม่มีรถยนต์ ไปทำงานด้วยรถเมล์ ส่วนลูกศิษย์ผู้ชายลาออกจากงานประจำมาเล่นหุ้นที่บ้าน ก็เตือนว่าอย่าประมาท ขับรถไม่เป็นทั้งคู่ ถามว่าถ้ามีเรื่องฉุกเฉินทำยังไง เขาตอบสบายๆว่า call ครับอาจารย์ ใช้บริการ taxi มีตลอด 24 ชั่วโมง  จำสมัยที่พวกเขายังเป็นเด็กนักเรียนตอนมัธยมปลายได้ อึ้งก็ยังพูดเก่งเหมือนเดิม โผงผางลดลงไปบ้างเพราะอายุ 40 กันแล้ว บอกเขาว่าติดต่อผ่าน mailได้ ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะได้เจอพวกเขาอีก วันนี้เลยดีใจจริงๆ และเห็นพวกเขาอยู่แบบสบายๆ ไม่วุ่นวาย รู้สึกเป็นสุขแทนพวกเขา และอยากให้พวกเขาประสบความสำเร็จในความเป็นคนตลอดไป (ไม่ไช่ มนุษย์ทำงานๆๆๆๆ+ มนุษย์หาเงินๆๆๆๆๆ =Robot)

สมัยสอนตอนที่พวกเขาเรียนมัธยม เราก็ยังอายุน้อยอยู่ สนิทแบบรุ่นพี่ ไปใหนมาใหนทำกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์กัน กับอึ้งจะสนิทมากเพราะเราเป็นที่ปรึกษาโครงงานวิทยาศาสตร์ เป็นช่วงแรกๆที่เริ่มส่งเสริมการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ ไปประกวดที่ใหนไปกัน ชีวิตตอนเป็นครูมัธยมดีมาก มีความสุข ตั้งแต่ย้ายเข้ามาสอนในมหาวิทยาลัยแห่งที่อยู่นี้ มีความสุขกับการสอนนศ.ประมาณสองรุ่นในสองปีแรก หลังจากนั้นทุกอย่างค่อยๆแย่ลงๆ จนกระทั่งเรากลับจากการเรียนต่อ ได้เห็นวัฒนธรรมองค์กรที่เปลี่ยนไป และพฤติกรรมของนศ.ที่ไม่เอาใจใส่ในการเรียนมากขึ้นแล้ว น่าเศร้า และเราไม่มีความรู้สึกที่ดีกับการบริหารสถานศึกษาแบบขาดคุณธรรม จริยธรรม ตลอดจนกระทั่งคำว่า จรรยาบรรณครู ยังสงสัยว่าอจ.รุ่นใหม่ๆ ยังรู้จักความหมายของคำนี้หรือไม่

Wednesday 11 May 2011

สัจจะ


 ภาพโดย meepole ได้ร่วมเป็นเจ้าภาพทำบุญ ถวายฉัตรให้แก่พระประธานในโบสถ์



เคยอธิษฐานไว้ว่า ขอให้มีทรัพย์ที่จะทำบุญ สร้างศาสนวัตถุ ที่ต้องการ จนกว่าชีวิตจะหาไม่ และได้ตั้งสัจจะตั้งแต่สี่ปีที่แล้วว่า จะใช้ทรัพย์ที่ได้มาในการทำบุญ สร้างกุศลไปเรื่อยๆ และโชคดี ที่ได้โอกาสในการทำบุญเสมอมา

วันนี้เป็นอีกวันที่ได้ตั้งใจไว้ตั้งแต่ก่อนเขียน (pocket book) จนเขียนเสร็จ และสนพ.มติชนได้ซื้อลิขสิทธิ์ ไปพิมพ์จำหน่ายตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว (ขายดีหรือไม่ ไม่ทราบ) แต่รายการ "เป็น อยู่ คือ" ช่อง Thai pbs เคยติดต่อมาสัมภาษณ์ แต่ไปทันทีไม่ได้เพราะอยู่บ้านนอก ช่อง Nation ก็เช่นกัน เขาคงไม่คิดว่าคนเขียนหนังสือแบบนั้นจะอยู่บ้านนอกมั้ง หุ หุ แต่เคยสัมภาษณ์สดออกรายการวิทยุ จำไม่ได้รายการอะไร เอาเป็นว่าที่เคยอ่านและรู้จักเราเมื่อเจอก็ชมชอบมากทั้งนั้น ขอลายเซ็นต์หนังสืออีกตะหาก ตอนเซ็นต์ก็เขินทุกทีเลย ไม่ไช่ดารานี่นา

เข้าเรื่องว่า วันนี้ได้มอบค่าลิขสิทธิ์ (ไม่มากนัก) จากการเขียนหนังสือนี้ให้โรงพยาบาลสงฆ์ทั้งหมด  วันนี้ได้ฝากดราฟไปแล้วถึงจนท.โรงพยาบาลแล้ว สัจจะที่ตั้งไว้คือ เงินจากการเขียนทั้งหมดจะมอบให้รพ.สงฆ์ เพื่อเป็นกองทุนสำหรับสงฆ์อาพาธตลอดไป ตอนนี้กำลังเตรียมเขียนเล่มต่อไป ก็จะทำเช่นนี้ตลอดไป

ทำบุญเพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่ถูกที่ควร เป็นสิ่งที่ทำให้เราลดละกิเลสในตัวเอง และที่สำคัญ
โชคดีนักที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ เป็นชาติที่สามารถสร้างบุญ เพื่อต่อบุญได้

Tuesday 10 May 2011

social network กับ ภาพลวงตา ที่ต้องระวัง

social network  กับ ภาพลวงตา ที่ต้องระวัง

ภาพ: เปลือกโดย meepole

บังเอิญจริงๆได้เข้าไปในที่แห่งหนึ่ง ไปแตะตาด้วยหัวเรื่องที่ คนสร้างภาพ คนหนึ่งเขียนตั้งไว้แล้วดูดี เพราะเกี่ยวกับ มุมมองของ social network หากแต่สิ่งที่ได้อ่านไม่ไช่สิ่งที่คิดไว้ว่าน่าจะได้ประโยชน์ในแง่ความคิดสร้างสรรค์ แต่ก็กลับได้สิ่งที่สังคมทั่วไปชอบ คือคำพูดที่อ่านแล้วให้ความรู้สึกว่าสะใจ  ใช้จิตวิทยาขั้นพื้นฐาน  คนเขียนเป็นคนเข้าใจจุดอ่อนของสังคมกลุ่มนั้น เหตุที่สนใจสิ่งที่เขาเขียนเพราะได้เคยเห็นจากข้อเขียนที่ ดูเหมือนสะท้อนตัวตนที่ตรงกันข้าม และขัดแย้ง ของคนผู้นั้นในหลายครั้ง ..
ดังนั้นในการเข้าร่วมสังคมแบบนี้จึงต้องใช้ สติและปัญญา ในการพิจารณาคนด้วย อย่าเชื่อเพียงเพราะอ่านตัวอักษร หรือรู้ตัวตนเพียงแค่ผ่านผิว ทุกอย่างต้องใช้เวลา แต่หากเราสามารถเรียนรู้ได้รวดเร็วว่าสังคม virtual  นั้นๆอยู่แล้ววุ่นวายหนอ หรือ มันไม่ต่างจากชุมชนคนจริงๆ ล่ะก็ ออกมาเถอะ! อย่าไปเสียเวลากับมันเลย ในเมื่อโลกจริงๆเราสามารถเลือกได้ เลือกที่จะอยู่และเลือกที่จะเป็น และมีดีที่จะเลือกสังคมดีๆอีกมากมาย แล้วสังคมจำลองเสมือนเหล่านั้นก็ไม่แตกต่างที่มีคนสมมุติบทบาทตัวเองขึ้นมาให้เป็นผู้โดดเด่นในด้านต่างๆ การเข้าไปร่วมในสังคมเช่นนั้นจึงต้องมีสติเป็นตัวกำกับ

ฉันได้เห็นประโยคหนึ่งที่ "คนสร้างภาพ" คนนี้เคยเขียนแล้ว meepole ก็ชอบคือ การ "เตือนให้รู้จักระวังตัว ที่จะไม่หลอกตัวเอง เพราะเสียหายกว่าที่ถูกผู้อื่นหลอก "  (แต่ที่ฉันกลัวคือ คนที่สร้างภาพหลอกผู้อื่นมากกว่า อันนี้น่ากลัวกว่าผี บรื๋อ!!)  แต่ meepole คิดต่อไปว่าในสังคมยุคนี้มีคนแอบจิตมาก จนไม่รู้ตัวเองว่ากำลังหลอกใคร  แสร้งดี จนสับสน (แต่ก็คิดว่า ดีกว่าทำเลว)  มีความขัดแย้งในตัวเอง (contradict) ตลอดเวลา บางคนคุยคิดจะสร้าง model ที่มีความสุขให้ใครต่อใคร แต่จะทำได้อย่างไร ในเมื่อจิตของตนเองยังเสาะแสวงหาเพื่อตัวเอง ดิ้นรนไม่สิ้นสุด หาจุดยืนจนสับสน ออกหาสังคมเพื่อเจาะคนที่มีความต้องการที่ตรงกัน หรือแลกเปลี่ยนแบบลิงผลัดกันเกาหลัง หรือไม่ก็เขียนเพื่อแสดงความเป็น ครูที่ทำเพื่อเด็ก ก็น่าห่วงว่าหลายคนอ่านแล้วจะเลียนแบบโดยไม่ใช้วิจารณญาณ แล้วนึกว่าไช่เลย (เพราะเด็กจะกลายเป็นกระได หรือไม่ก็ไขควง ของครูคนนั้นไป)



..แต่ที่อันตรายคือ คนที่เห็นเขาต่างหาก สับสนด้วยหรือไม่  สับสนยกย่องว่าเป็นคนดี  สับสนคิดว่าเป็นผู้นำทางความคิด สับสนว่าเป็นอะไรที่ใช่เลย.....!  สังคมเราทิ้งปัญหาสะสมไว้มาก เพราะคนดีในยุดนี้หาได้ง่าย ทำตัวเด่นดัง ก่อตั้งอะไรสักอย่าง ออกสื่อให้บ่อย หากินกับเด็กก็ได้ คนชรา ก็ดี  คนดีเฉพาะกิจได้รับการยกย่องโดยดูเพียงที่เห็นต่อหน้า  เมื่อ "ดี" นั้นไม่จริง (fake) จึงเกิดความสับสนในเรื่องของ คนดี และ ความดี   หรือ ปูชนียบุคคล ตามมา เมื่อตัวตนถูกเปิดเผย ก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เห็นมาหลายตัวอย่างในสังคมเรา  ดังนั้น การยกย่องใคร การสนับสนุนใคร ใน social network  ที่สามารถแพร่ขยายออกไปรวดเร็วและกว้างขวาง จึงเป็นเรื่อง "ดาบสองคม" จริงๆ   เหมือนความคิดที่ "คนสร้างภาพ" ได้เขียนไว้มีความหมายว่า

“..มีข้อมูลมาก แต่หาปัญญาที่สามารถรู้หรือให้เหตุผลที่ถูกต้องแทบไม่พบ และอาจถูกตำหนิว่า เป็นพวกมีความรู้ แต่ไม่มีการศึกษา          แต่ meepole กลัว "คนมีการศึกษา ที่ไม่มีความรู้" มากกว่า    เพราะจะกลายเป็น ฅนลวงโลก ไม่ใช่ ฅนขวางโลก  คิ  คิ


ที่มาภาพ: mydvd4u.com

Monday 9 May 2011

การแผ่เมตตา

การแผ่เมตตา



เราทุกคนรู้จักคำว่าเมตตาเป็นอย่างดี เพราะเราจะถูกสอนแนะนำว่า สวดมนต์ ทำบุญ หรือตักบาตรแล้วอย่าลืมแผ่เมตตาด้วย แล้วเราก็แผ่เมตตาตามบทที่เคยท่องอ่าน หรือว่าตามๆกัน แล้วจบ 
 ลองอ่านข้อความต่อไปนี้ดูนะคะ

เมตตาเป็นความรัก ความปรารถนาดีให้ผู้อื่นมีความสุข เป็นความรักที่บริสุทธ์
ดังนั้น หากเราหมั่นอบรมจิตใจให้เมตตาตั้งขึ้นในจิตใจได้
จิตใจก็จะพ้นจากโทสะพยาบาท
ผู้ที่จะแผ่เมตตาได้จะต้องทำใจตัวเองให้มีเมตตาก่อน
โดยฝึกจิตใจตัวเองให้อ่อนโยน สงบเย็น
แล้วจึงแผ่เมตตาแก่ผู้อื่น
เพราะการจะแผ่สิ่งใดออกมาได้
จิตใจจะต้องมีคุณสมบัตินั้นอย่างแท้จริงก่อน
และผู้รับย่อมรับรู้ได้ถึงสิ่งนั้น


ดัดแปลงจาก ละความโกรธด้วยความรักและเมตตา
จากหนังสือ เหตุสมควรโกรธ..ไม่มีในโลก
พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก
ที่มาภาพ: japanwallpaper.blogspot.com

Sunday 8 May 2011

ปิดทองหลังพระ

ปิดทองหลังพระ



เมื่อมีคนบ่นว่า "ทำความดีไม่มีใครเห็น ทำอะไรหัวหน้าไม่รู้ ทำแล้วเหมือนปิดทองหลังพระ
บางคนทำเพียงเอาหน้าก็ได้ดี"   ก็มักจะบอกเขาว่า

หากเราเชื่อแบบคนพุทธ ที่ใครทำกรรมใดยอมได้กรรมนั้นเพียงแต่ช้าหรือเร็ว โลกนี้มีทั้งคนชอบปิดทองหน้าพระ ปิดทองหลังพระ แต่คงดีกว่าจะไม่ช่วยกันปิดทองเลย  เพราะสิ่งที่เราหวังคือองค์พระที่งดงาม  ทำไปเถอะ ทำดี ก็เกิดดี ขึ้นแล้ว

เปรียบเหมือนจิตของผู้ติดทองย่อมรู้ ผู้ติดที่จิตบริสุทธิ์ เมื่อติดเสร็จความอิ่มเอิบใจ หรือปิติที่เกิด
ย่อมแตกต่างจริงๆ

Saturday 7 May 2011

อยู่อย่างสงบ ..มันอยู่ที่ใจ แต่ถ้าเลือกได้...

อยู่อย่างสงบ ..มันอยู่ที่ใจ แต่ถ้าเลือกได้...

ท่ามกลางความวุ่นวาย แท้จริงแล้วมันไม่วุ่นวายถ้าเราไม่เอาใจไปรับมัน


ครั้งหนึ่ง meepole ได้แวะไปที่สำนักปฎิบัติธรรมแห่งหนึ่ง (มีหลายสาขาจากเหนือจรดใต้) ที่เมื่อเอ่ยหลายคนจะรู้จักดี วันที่ไปตั้งใจว่าจะลองไปดูว่าเป็นสถานที่เช่นใด และอื่นๆ ตามที่เคยได้ยินมาบ้าง ไม่รู้ว่าโชคดีหรือไม่ไช่ ? เพราะเป็นวันที่คนค่อนข้างมาก เนื่องจากเป็นวันคล้ายวันเกิดของหัวหน้าสำนัก  ลูกศิษย์มากันถือของมามอบให้ และก็ยืนต่อคิวยาวเพื่อขึ้นไปข้างบน (บ้าน) ต้องค่อยๆขยับขึ้นบันใดเมื่อมีคนลงมา ขยับเช่นนั้นเกินครึ่งชั่วโมง ซึ่งจริงๆเราไม่มีความอดทนเช่นนั้น แม้ว่าอยากรู้เห็น แต่สามีเตือนว่ามาแล้วดูให้เห็นอย่ากลับไปด้วยความสงสัย เลยอดทนๆๆ

ในที่สุดก็ได้ขึ้นไปนั่งที่ชานข้างบนที่ข้างหน้ามีเจ้าสำนักนั่งอยู่ (เป็นใครไม่ขอเอ่ยนาม เพราะความศรัทธาเป็นเรื่องส่วนบุคคล) เราหลบมานั่งหลังสุด แต่ภาพที่เห็นบอกได้ว่าเราไม่ชอบ เพราะไม่ถูกกับนิสัย เคยคิดไว้ว่ายิ่งผู้นั้นข้าถึงธรรมมากเท่าใด การปฎิบัติตนต้องยิ่งง่าย แต่ที่เห็นไม่ไช่ นั่งบนเก้าอี้พิเศษตัวใหญ่ ที่น่าจะรองด้วยขนแกะ? และถือพัดโบกวีแกว่งไปมา มีของตั้งรอบกองเต็มไปหมด ทั้งของลูกศิษย์ที่นำมาให้ และ ?? เรานั่งรอด้วยความเงียบ มองดูคนและคณะกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าที่เข้ามากราบและมีทั้งมอบของ รับของ จนไกล้เที่ยงเราก็รู้ว่าท่านคงต้องไปทานอาหาร เราอาจไม่ได้สนทนาด้วย แต่ไม่เป็นไรถือว่าได้มาเรียนรู้ ระหว่างนั้นเราแอบกระซิบกับสามีที่นั่งข้างๆอย่างเบาๆว่า" ดูวุ่นวายจังเลยนะ" คนที่มาบางกลุ่มมาเพื่อลากลับ ด้วยความวุ่นวายส่งเสียงไม่หยุด มีคนที่เหมือนนกกระจอกอยู่คนหนึ่ง พูดขอโน่นนี่ ชูชกจริงๆหลายคนก็คนรำคาญ และเธอนั่งรอปักหลักเปลี่ยนคนแล้ว เธอก็ยังคงอยู่รอจังหวะ แปลกมากที่แม่ชีที่นั่งเงียบมาตั้งแต่แรก ซึ่งเราเห็นครั้งแรกแล้วรู้สึกเย็นสงบ นั่งพับของบรรจุห่อเงียบๆตรงนั้นห่างจากเราประมาณ 2 เมตรเศษ พูดขึ้นมาเบาๆยิ้มว่า "ข้างนอกวุ่นวาย แต่ใจเราไม่วุ่นวาย"  ฟังแล้วก็ดีขึ้นและรู้สึกขอบคุณ เป็นประโยคที่เตือนสติได้ดีมาก แต่เราคิดอย่างเดียวต่อจากนี้ไม่มาอีกแล้ว

ไม่เคยเห็น..ในที่ๆควรสงบ กลับไม่สงบเท่าที่ควร และภาพของคนที่มาแม้เรียกตัวเองว่าศิษย์ แต่ยังโลภอยากได้ อยากเป็น อยากมี ขอรวย ขอตำแหน่ง ขอ...เช่นนั้น แล้ว แล้วพวกเขามาเป็นศิษย์เพื่อเรียนรู้อะไร  และได้รู้อะไร แต่วันนั้นฉันได้เรียนรู้และรู้ว่าตัวเองไม่พร้อมสำหรับที่นั่น เพราะแม้ใจจะไม่วุ่นวายได้ แต่ฉันยังขอเลือกที่ๆข้างนอกกายไม่วุ่นวายด้วย จึงควรเป็นที่ปฏิบัติธรรม เพราะฉันเชื่ออีกว่าศรัทธา (ที่กรอปด้วยปัญญา) เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน

 วันนั้นหลังจากได้เดินดูสถานที่โดยรอบๆ ฉันได้กลับออกมาอย่างเงียบๆ และไม่สงสัยอีก

Thursday 5 May 2011

The mask



เพียงแค่เรายึดมั่นในสัจจะ โลกนี้ก็น่าอยู่ขึ้น
และหากได้บวกเติมความปรารถนาดีต่อกันลงไป ก็เป็นสุขทั้งผู้ให้และผู้รับ
แต่ก็ยังไม่เข้าใจในหลายๆเรื่องราวและโอกาส ว่าทำไมเราต้องใส่หน้ากากเข้าหากัน ทั้งๆที่แค่เรามีความจริงใจต่อกัน อะไรๆก็เป็นเรื่องง่ายไปหมด :)

Wednesday 4 May 2011

ช่างเถอะ เพราะใจอ่อน..เลยต้องอ่อนใจ

ช่างเถอะ! เพราะใจอ่อน..เลยต้องอ่อนใจ



พอไกล้แก่ไม่ว่า กระดูก เอ็น เส้นประสาท เป็นอันแข็งกระเดกไปหมด ขยับนิด ก้มหน่อย ก็ตึงไปหมด จะปลูกต้นไม้ใส่กระถางยังลำบากเลย ไม่ต้องพูดถึงจะตัดแต่งกิ่งไม้ ก็เลยต้องอาศัยคนมาช่วยตัดแต่ง และเดี๋ยวนี้ก็เหมือนกันหมด คนที่มาปลูกต้นไม้ตกแต่งสวนให้บ้านตอนแรกๆ อย่าไปหวังว่าจะมาช่วยตกแต่งให้หลังจากนั้นแล้ว ทุกบ้านโดนเหมือนกัน เพราะเขาเป็นพวกตกแต่งรับเงินเป็นหลักหมื่น แสนขึ้นไป (ของที่บ้านเกือบสองแสน)  ไม่ไช่ ตัดหญ้าแต่งกิ่ง ที่รับหลักร้อย พัน เคยเรียกแล้วรับปากก็หายจ้อย เราก็ไม่ไช่คนช่างตามตื้อ มองว่าถ้าจิตสำนึกของความรับผิดชอบมีก็ต้องมาตามที่รับปากไม่มาก็หาคนใหม่ ซึ่งก็ไม่ไช่ง่าย

แต่ในที่สุดมีคนแนะนำคนมา บอกว่ารับรองเรียบร้อยเป็นหลานอาจารย์วิทยาลัยเทคนิคแห่งหนึ่งที่เราเองก็รู้จัก เลยคิดว่าดีได้คนเป็นญาติของคนรู้จัก คงไว้ใจได้  โทรนัดมาวันแรกให้ดูที่ทาง พร้อมบอกสรุปกับเขาว่า อยากตกแต่งยังไงให้สวยก็บอกได้เลย จัดการได้บ้านนี้ขอสวย เราคิดในใจว่าคงไม่ต่ำกว่า 50,000 สำหรับงานแรก  แต่ยังไม่พูดอะไร ขอทดลองใจ ทดสอบก่อน ให้เขาวาดแบบมาให้ดูคร่าวๆด้วยว่าจะจัดอย่างไร หายไป 4 วัน โทรศัพท์มาบอกว่าลูกป่วยเลยหายไป แต่อีกสองวันจะมา ก็บอกไม่เป็นไร อีกสองวันเขาพาคนมาตัดหญ้า เห็นแล้วตกใจ เพราะตัดหญ้าโดยใช้กรรไกรมือตัด แล้วสนามหน้าหลังจะตัดได้ยังไง กี่วันหมด แต่ก็ไม่พูดอะไร รอดู สามีบอกว่าน่าจะซื้อที่ตัดหญ้าให้เขาใช้นะ แต่เรายังไม่เห็นด้วย เขาเอาแบบร่างที่วาดมาให้ดูเห็นแล้วก็แปลกใจอีก เพราะเหมือนเด็กประถมที่เขียนรูปเล่น ไม่เหมือนช่างตกแต่งสวนที่ควรเป็น แต่ก็คิดว่าไม่เป็นไร ช่างเถอะ! ให้เขาลอง ระหว่างนั้นเขาก็โยกย้ายกระถาง เก็บกวาดใบไม้ จนเที่ยงขอไปทานข้าวบ่ายจะมาต่อ เราก็ต้องรอ เพื่อนนัดก็ออกไปไม่ได้ ปรากฏว่าจนเย็นก็ไม่มา เสียนัด งานก็ไม่ได้ เราก็ไม่ตาม คิดว่าช่างเถอะเขาคงติดธุระ (แต่ทำไมไม่โทรมาบอก)



ตัวอย่างรูปที่นายเอกเขาอุตส่าห์วาดมาให้ ไม่ต้องนึกอะไรจากภาพ เพราะไม่มีสเกลที่ถูกต้อง ทุกอย่างที่วาดขนาดไม่เป็นสัดส่วน ไม่จริงทั้งสิ้น ล่างซ้ายคือสระบัว  ส่างขวาคือบริเวณตั้งโต๊ะจีนที่มีอยู่แล้ว แต่เขาจะปลูกต้นไม้ล้อมเพิ่มซึ่งทำไม่ได้เพราะไม่มีที่ให้ลงต้นไม่ได้เลย แต่คิดว่าช่างเถอะค่อยๆพูด ให้เขาทำแล้วจะรู้เองว่าทำไม่ได้หรอก



หายไปอีก 4 วัน ก็มาอีกโดยไม่บอกล่วงหน้า บอกว่าทำเบอร์โทรเราหาย? มายืนที่หน้าบ้าน บอกว่าไปส่งลูกให้ไปอยู่กับยาย เราก็เงียบ แล้วก็ต้องให้เขาเข้ามาทำ เพราะเห็นใจเขาว่าพาคนมาด้วยอีก 1 คน คราวนี้เป็นผู้หญิง เอาไม้กวาดมากวาดใบไม้ เขาเอาแบบร่างที่เขียนเพิ่มให้ดู เห็นแล้วพูดไม่ออกอีก นึกว่าช่างเถอะ เดี๋ยวเราแก้แบบให้เอง นึกในใจว่างานนี้สงสัยต้องเขียนแบบเองจนได้ ก็พูดกับเขาด้วยประโยคเดิมคือทำในสวนนี้ให้ดูเรียบร้อยก่อนแล้วจะดูออกว่าตรงใหนที่ต้องตกแต่งเพิ่ม เขาชี้ว่าเขาออกแบบสระบัวมาให้ เราบอกไม่เอาสระบัว เคยมีเล็กๆแล้วก็ต้องถม เลี้ยงปลาด้วย หมาลงลุยทั้งปลาทั้งบัวตายเรียบ  เขาเอาหนังสือบ้านและสวนมา 3 เล่ม ให้ดู ก็บอกเขาว่าไว้ดูวันหลังก็แล้วกัน (จริงๆที่บ้านมีเป็นร้อยเล่ม)  แต่บอกเขาว่าทำได้แค่บ่ายโมงเพราะต้องออกไปตจว.ก็ให้เขาทำงานเราไม่ได้ออกไปดูจริงๆ เพราะไว้ใจ คิดว่าเขาคงจะพยายามทำอะไรที่คุยไว้คือตัดแต่งที่รกให้เรียบร้อย แล้วตกแต่งให้สวยไว้ทีหลัง พอไกล้บ่ายก็บอกเขา ว่าคงต้องเลิกงานก่อนแล้วพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ เพราะเขาตัดต้นไม้พวกเบิร์ด และไม้ต้นอ่อนริมสระกรวดหน้าบ้านจนเลอะ และทางเดินก็เดินไม่ได้ เราก็คิดว่าเขาทำงานมาสองวัน วันละ สองชั่วโมงได้งานน้อยมากจนไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดี นอกจากรกวุ่นวายมากขึ้น เพราะโยกย้ายกระถาง ของอื่นๆวางเกะกะไปหมด แต่ช่างเถอะเห็นใจเขาว่าก็คงต้องมีค่าใช้จ่าย เลยก่อนออกไปเราให้เงินเขา 1,000 บาท บอกว่าเผื่อใช้จ่าย และเขาบอกว่าพรุ่งนี้เขาจะมาเก็บต่อ ก็ OK

 จนบัดนี้ครบ 4 วันยังไม่มาเลย (เราไม่โทรตาม) เล่าให้เพื่อนสนิทหลายคนฟังทุกคนอุทานให้เจ็บใจเล่นเหมือนกันหมด ทำไมให้ก่อน? ทำไมเชื่อใจ? เห็นแบบนั้นเขาไม่ให้ทำกันตั้งแต่แรกแล้ว ทำไมต้องรีบให้เงิน? ทำไมให้เงินเยอะเกิน? สารพัดทำไม ??? สามีก็เลยได้พลอยร่วมกับคุณเพื่อนทั้งหลายด้วย (เพราะตอนให้เงินเขาก็ไม่รู้ เราก็ไม่กล้าบอก เพราะคิดตั้งแต่แรกว่าถ้าถูกเบี้ยวงานอีก จะได้ไม่เสียใจสองคน) ฟังแล้วเจ็บหัวใจ เสียค่าใจอ่อนอีกแล้ว เพราะเขาบอกว่าลูกไม่สบาย ก็เลยคิดว่าช่างเถอะช่วยกันก่อน

เมื่อวานสามีเลยทนไม่ได้เก็บกวาดต้นไม้เล็กๆที่อยู่ในสระกรวดเองไม่งั้นฝนตกจะเน่าและเก็บยากขึ้น วันนี้ตามให้ช่างตัดหญ้าเจ้าประจำมาทำ ภายในสองชั่วโมงเรียบร้อยสะอาดทั้งสวนหน้าและหลังบ้าน เฮ้อ!!! ไม่รู้เมื่อไหร่จะเลิกใจอ่อนเสียที ครั้งนี้ไม่ไช่ครั้งแรกแต่เป็นครั้งที่นับไม่ถ้วน แต่เมื่อไหร่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะไม่ใจอ่อนอีกนะ จะได้ไม่ต้องอ่อนใจ

เตือนตัวเองมาตั้งหลายครั้งแถมเตือนคนอื่นเสียด้วย แต่พอถึงคราวตัวเองเชื่อใจคนง่ายๆ เสียใจทุกที นี่ขนาดหลบหลีกคนมากที่สุดแล้วนะ ยุคนี้จะหาคนดีๆที่สามารถจะเลี้ยงดู สนับสนุนคงไม่มีเสียแล้ว ช่างเถอะ!

Tuesday 3 May 2011

Success

Success

Large_dsc00833


It isn't always easy ... thing called life.

The thing that makes for success is struggle and difficulty  for without difficulties to overcome  there would be no such thing as succeeding