Monday, 28 May 2012

เพียงแค่..เลิกยกย่องคนเลว


ป๋าเปรม บอกโกงเป็นโรคร้ายแรง ขอทุกฝ่ายปราบคนไม่ดี
 เนื้อข่าว
(25 พค.) "ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ "พล.อ.เปรม" กล่าวเปิดงานสัมมนา "มาตรการป้องกันการทุจริตเชิงนโยบาย" ของ ป.ป.ช. ชี้ การโกง เป็นโรคร้ายแรง แนะทุกฝ่ายร่วมมือกันปราบปรามอย่างจริงจัง ประชาชนต้องให้ความร่วมมือและเมื่อทุกฝ่ายเห็นตรงกันป้องกันปราบปรามการโกงอย่างจริงและจริงใจ ช่วยทำให้บ้านเมืองน่าอยู่"

เปลือกที่มีประโยชน์คือ คือเปลือกไม้
อ่านแล้วหากไม่คิดอะไรก็ผ่านหู ผ่านตา หรือไม่ก็ อืม! ไช่     จริงๆแล้วเรื่องนี้เป็นอะไรๆ ที่ใครๆก็รู้ เพียงแต่พูดออกจากปากคนธรรมดาก็ไม่เป็นข่าว คนดีๆ มากมายที่เคยได้พูดเรื่องเหล่านี้ ขอให้ช่วยกัน ลด ละ เลิก การโกงกิน ทุจริตคอรัปชั่น ในทุกรูปแบบไม่ว่าแบบใส่ซอง โอนตัวเลข หรือคอรัปชั่นเชิงนโยบาย (ที่ meepole เห็นชัดเจน ในที่ทำงานนี่แหละ)  รณรงค์กันทุกยุคสมัย แต่ก็ไม่ได้เป็นผลเชิงประจักษ์ เพราะยังเห็นกันในทุกองค์กร หน่วยงาน ทุกวิชาชีพ ทุกระดับชั้นหรือฐานะ จนกลายเป็นมือใครยาวสาวได้สาวเอา มุมมองคนเปลี่ยนไป “คนดี” จริงไม่มี มีแต่ “คนโง่” (“โง่” เองที่ไม่โกงกิน ไม่ไช่ เพราะ ”ดี” จึงไม่โกงกิน)  เรื่องทุจริตคอรัปชั่นจึงเป็นเรื่องปกติ ไม่น่าละอายในสังคมยุคนี้ ศักดิ์ศรี สกุลพ่อแม่ เป็นเรื่องเล็ก บาปกรรม ไม่รู้จัก.....
Meepole รับรู้ เห็นเรื่องเหล่านี้จากชีวิตการทำงานรับราชการ  ในหน่วยงานที่เรียกเราว่าเป็น “ข้าราชการครู” ค่อยๆเห็นตั้งแต่เรื่องเล็กๆ กลับมาถามที่บ้านว่าแบบที่เห็นเขาทำนี่เรียกวาคอรัปชั่นไหม จนกระทั่งรับรู้เพิ่มเรื่อยๆ เพราะยิ่งยุคสมัยผ่านไป การโกงกินยิ่งคำโตขึ้น มาในหลายรูปแบบมาก จนหลายครั้งที่ถามตัวเองและคนสนิทว่า เขาจำเป็นต้องทำเพราะเขาขาดแคลน อด ไม่พอ หรือนั่นเป็นนิสัยอันถาวร (สันดาน) ที่มีเท่าไรก็ไม่รู้จักพอ และตอนนี้ยิ่งได้มาอยู่ในระดับมหาวิทยาลัย ยิ่งไม่น่าเชื่อว่า คนที่มีการศึกษามาก  มีตำแหน่งในการที่จะสร้างสรรค์สิ่งที่ดี กลับใช้โอกาสนั้นทำทุกอย่างเพื่อเอื้อผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้องที่ต้องร่วมด้วยช่วยกันโกง (ประเภทกินคนเดียวหัวหาย กินหลายฝ่ายสบายนาน) เลยเป็นเครือข่ายโกงแบบใช้กลยุทธิ์ แบบระบบขายตรงไดเร็กเซล ชั้นล่างทำยอด หารายได้ดี ส่งตามระบบพิเศษ แบบมีเทคนิคเฉพาะ “เลี้ยงเแมวให้อ้วน ก็จับหนูไม่ได้”
 ...จากความรู้สึกที่เคยคิดว่า พวกเขาคงจำเป็น เพราะครอบครัวเขาคงลำบาก รู้เห็นไปเรื่อยๆ จนพอทราบว่าเขาไม่ได้จน ไม่ได้อด แต่ไม่พอ เพราะต้องใช้จ่ายเยอะมาก ลูกต้องเรียนต่างประเทศ รถยนต์ต้องตระกูล B  กินอาหารต้องระดับห้องอาหาร  ต้องสะสมซื้อที่ดิน ลงทุนเก็บเกี่ยวมากมาย เช่น สร้างธุรกิจส่วนตัว ที่ใช้...เป็นตัวเอื้อผลประโยชน์ เกิดคอรัปชั่นเชิงนโยบายเพราะคำว่า “อยาก” ไม่เคยพอ เลย “หยุด” ไม่ได้ หรือ "รู้ว่า..มันชอบอะไรก็โยนให้มันกิน มันก็เงียบเอง" (ประโยคสุดท้ายนี้ออกจากปากในที่ประชุมของผู้มีการศึกษากลุ่มหนึ่ง มีตำแหน่งหน้าที่การงานที่คนยกย่องเพราะเห็นแค่เปลือก) จึงยากที่จะ ลด ละ เลิก
จากที่ meepole เคยสงสารเห็นใจ เลยแปรเป็นความรู้สึกที่ไม่ไช่ไม่ชอบแต่ว่ารังเกียจ เพราะรู้สึกว่าพวกเราเป็นข้าราชการ และเป็นครู สวมหมวกเกียรติยศสองใบ มีหน้าที่สอนและเป็นแบบอย่างที่ดี เป็นข้าแผ่นดิน แล้วไม่มีความละอายเลยหรืออย่างไร ทุจริตกันทุกระดับจนคนที่ไม่ทำกลายเป็น “แกะขาว” หรือไม่ก็ เป็นพวกเรื่องมากอะไรก็ไม่ได้ หรือไม่ก็เป็นพวกไม่ยืดหยุ่น (ของมีไม่มี ก็เซ็นต์ตรวจรับไปเถอะ! อย่าเรื่องมาก.. เด็กเรียนไม่เรียนก็ต้องให้ผ่าน อย่าติด E มากนัก จะเป็นปัญหาการประเมินคุณภาพสถาบัน ..เขาจะลอกงานของใครก็ช่างเถอะ มองผ่านๆไปบ้าง) ความรังเกียจที่เพิ่มมากขึ้นๆ ทำให้ต้องเอาตัวเองออกมา ได้เคยพยายามในระดับหนึ่งแล้วแต่ “น้ำดีจำนวนน้อยย่อมไม่มีค่าในบึงน้ำเน่า”  ไม้ซีกงัดไม้ซุง เมื่อเปลี่ยนระบบไม่ได้ ก็ต้องเปลี่ยนที่ตัวเอง (แต่ไม่ไช่ด้วยการเป็นแบบที่เขาเป็น) เพื่อไม่ให้เศร้าใจ อนาถใจ กับสิ่งที่รับรู้ ด้วยการวาง รู้แล้ววาง ทุกอย่างเป็นไปด้วยอกุศลกรรมที่พวกเขาไม่สามารถก้าวข้ามไป อกุศลกรรมเป็นของเขาผู้ก่อ หากเขามีธรรมะ มีจิตเมตตาที่เป็นครู เป็นผู้ให้ ดูแลศิษย์ด้วยความรับผิดชอบ ใส่ใจคุณภาพการศึกษา ไม่ไช่สร้างแต่วัตถุ สร้างภาพลวงตา ทำธุรกิจการศึกษา ใช้ตำแหน่งเป็นเครื่องมือทางสังคม จนน่าสงสารสังคม แต่สังคมก็มักให้การยกย่องเพราะมองเห็นแต่ภาพลักษณ์ภายนอก ดูแค่เพียงเปลือก จึงมีคนแบบ “ดีแต่เปลือก” ใส่สูท ผูกเน็คไท มีตำแหน่ง ขึ้นมาบริหารในระดับต่างๆ เต็มไปหมด จึงเกิดการโกงทุกรูปแบบ แล้วใครจะเป็นคนปราบคนโกง เพราะ  ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่” ผ้าสกปรกจะเช็ดอะไรๆ ให้สะอาดได้อย่างไร?
ดังนั้น “โกงเป็นโรคร้ายแรง ขอทุกฝ่ายปราบคนไม่ดีน่าจะทำได้ยาก ที่ทำได้ง่ายกว่าคือการทำตามพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

คนดี

ในบ้านเมืองนั้น  มีทั้งคนดีและคนไม่ดี
ไม่มีใครจะทำให้คนทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด
การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย
จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี
หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง
และควบคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้

 
พระบรมราโชวาทในพิธีเปิดงานชุมนุมลูกเสือแห่งชาติ
ณ ค่ายลูกเสือวชิราวุธ จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2512


 Meepole เชื่อมั่นว่า การส่งเสริมคนดี ง่ายกว่ากำจัดคนชั่ว
มาช่วยกันยกย่องคนดี ให้โอกาสคนดี  ส่งเสริมให้คนดีได้ขึ้นมาบริหารจัดการ ทุกๆอย่างก็จะดีเอง

(หมายเหตุ คนดี คือ ซื่อตรง ซื่อสัตย์ สุจริต ทั้งต่อหน้าและลับหลัง และมีสัมมาทิฐิ)

เชื่อเถอะ! เพียงแค่เราเลิกยกย่องคนเลว ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ง่ายที่สุดแล้ว ที่ใครๆก็ทำได้

Friday, 18 May 2012

พระอุโบสถเปิด วัดนอก (วัดราชบูรณะ ชุมพร)

พระอุโบสถแบบเปิด


เมื่อ 7 เมษายนไปดูการเตรียมจัดงานผูกพัทธสีมา พระอุโบสถใหม่ ที่วัดนอก (วัดราชบูรณะ หลังสวน ชุมพร) จุดเด่นคือ เป็นพระอุโบสถแบบเปิด ที่พระอาจารย์มีส่วนในการออกความคิดในเรื่องรูปแบบของพระอุโบสถแบบเปิดนี้ สร้างเสร็จสวยงามแบบธรรมชาติดีมาก พระวิจิตรธรรมนิเทศ รจจ.ชุมพร เป็นเจ้าอาวาส เราเคยไปร่วมทำบุญถวายปัจจัยในการหล่อพระประธาน เลยนำภาพมาให้ดู เผื่อใครผ่านลงใต้ หรือขึ้นกทม.ผ่านจะได้แวะเข้าไปเยี่ยมชม กราบพระให้เกิดมงคลแก่ชีวิต



ทางขึ้นพระอุโบสถ


หน้าบรรณ

พระประธานที่หล่อขึ้นที่วัด ด้วยแรงศรัทธาสาธุชน



ช้างน้อยรอบๆพระอุโบสถ

ใบเสมา

บริเวณวัดรอบๆจะเป็นเขาเตี้ยๆ ท่านเจ้าอาวาสทะนุบำรุงเอาใจใส่สะอาดตา ร่มรื่น


ภาพด้านล่างเป็นพระสงฆ์ผู้ปฎิบัติดี เป็นที่เคารพสักการะของสาธุชนทุกรุ่น 9 วัดของชุมพร นำมาให้สักการะ แต่วันนั้นที่ไปยังอัญเชิญมาไม่ครบ และของอภัยที่ไม่ได้รู้จักหลวงพ่อด้วยความด้อยความรู้เรื่องนี้ของ meepole และไม่ได้สอบถามให้ชัดเจน (วันนั้นไปถามเอาคนที่ไม่รู้เหมือนกันเลยไม่ได้คำตอบ)


หากใครมีโอกาสผ่านไปอย่าลืมแวะ วัดนอก (วัดราชบูรณะ พระอารามหลวง) ต.ท่ามะพลา อ.หลังสวน จ.ชุมพร นะคะ จะได้รับความสุข สดชื่น อิ่มใจ กลับไปแน่นอนค่ะ ส่วนจะอิ่มบุญก็ต้องทำบุญ ให้เกิดบุญกันเองค่ะ :)


Monday, 14 May 2012

ไม่มีหนี้ชีวิต/ไม่มีลูก


เมื่อ 2 วันที่ผ่านมาได้เจอเพื่อนเก่าที่เรียนด้วยกันตั้งแต่ปริญญาตรี (mike) ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าใด ความรู้สึกของความเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันยังไม่เคยเปลี่ยนแปลง เป็นเพราะสมัยก่อนนั้นมหาวิทยาลัยมีไม่กี่คณะ และนักศึกษาแต่ละคณะมีน้อย มหาวิทยาลัยจึงเหมือนบ้านที่สองที่พวกเรากิน นอน เล่น ร่วมทุกข์ (เวลาจะสอบ) ร่วมสุข (เวลาสอบเสร็จ) พวกเราอยู่หอพักของมหาวิทยาลัยหอเดียวกัน จึงเจอกันตลอดยกเว้นเวลาเรียนที่แยกกันไปตามวิชาเอก (คณะวิทยาศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ หาดใหญ่)  รุ่นเราแรกเข้ามี 100 กว่าคน ตอนจบเหลือ 60 กว่าคน ตายไประหว่างเรียน 2 คน พวกเราเลยเป็นครอบครัวเล็กๆ ตอนค่ำก็ไปเยี่ยมเยือนคุยกันแล้วก็แยกย้ายมาทำการบ้านในตอนค่ำ มีปัญหาทำไม่ได้ก็ไปถามกันเพราะห้องพักแค่ตะโกนกันก็ได้ยิน สำหรับเรากะ mike มีส่วนพิเศษเพิ่มคือ สมัยเรียน mike เป็นสาวที่แต่งตัวเนี๊ยบ สำหรับเด็กชนบทอย่างเราเห็นแล้วชอบ เป็นคนเดียวในคณะวิทย์ตอนนั้นที่แต่งหน้า ทาปากสวย พวกเราส่วนใหญ่ใช้แป้งกระป๋องโปะๆลูบๆหน้าแล้วจบ ที่จำได้แม่นคือไมค์ชอบเต้นลีลาศมาก มากขนากขาหักเข้ารพ.นานหน่อยใส่เฝือก ไปเยี่ยมยังเห็นนั่งลอยขาเต้นลีลาศตอนนั้นคงแอบนินทาในใจว่าเป็นเอามากเลยจำได้จนบัดนี้ ผ่านมาได้ 30 ปีแล้วกระมัง แม้ว่าจะไม่ได้ติดต่อกันบ่อยนักด้วยร ะยะทาง ภาระงาน ฯ แต่เมื่อมีธุระ หรือใครประสบเหตุอะไรก็มีข่าวมีการติดต่อด้วย mail โทรศัพท์กัน มีการเลี้ยงรุ่นต่างๆปีละครั้งแต่เราไม่ได้ไปร่วมเพราะไม่ได้ลางานสอน

ครั้งนี้เมื่อ mike มาก็มีการระดมเพื่อนเก่าที่อยู่ที่นี่และเพื่อนที่อยู่กทม.ซึ่งเป็นกลุ่มที่เรียนกันที่หาดใหญ่วิทยาลัย ทำให้เราได้รู้จักเพื่อนใหม่เพิ่มขึ้น บางคนรู้จักก่อนหน้านี้ หลายคนทั้งที่เป็นคนในท้องถิ่นแต่ก็มารู้จักกันเพราะ mike ทุกคนน่ารัก น่าคบหาเพราะวัยนี้แล้วไม่มีอะไรที่เป็นภาระมากนัก นอกจากจะหาภาระมาเพิ่มกันเอง เพราะภาระที่มีคงน้อยไป ฟังพวกเขาคุยแล้วเพลินๆทุกเรื่อง ไม่ว่าเขาจะกำลังสนใจทำธุรกิจใหม่ หรือทำขยายจากที่มีเดิมก็สบายๆไม่เคร่งเครียด

ครั้งนี้ก็เป็นเรื่องแปลกที่คุยไปคุยมาบางคนโยงใยรู้จักรุ่นก๋ง ยาย พ่อแม่ พี่น้องกันไปหมด คุณนิดกลายเป็นว่าเคยเป็นลูกศิษย์ของแม่ meepole เขาเคยเรียนภาษาอังกฤษที่แม่สอนที่โรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์สมัยก่อนโน้นตอนเธอเรียนป.5 แต่เธอจำชื่อ บุคลิก หัวข้อการสอนของแม่ได้แม่นเพราะเธอประทับใจ ก็บอกให้แม่ดีใจไปแล้วที่ยังมีศิษย์จำได้ แม้นานมากๆ

คุยๆกันก็รู้ว่าคุณนิดและสามีที่เป็นเพื่อน mike ไม่มีลูก เขาบอกว่าคงเป็นกรรม แต่เราก็บอกว่าไม่ไช่กรรมหรอก ดีแล้วเขาถือว่าไม่มีหนี้ชีวิต สามีคุณนิดสนใจคำกล่าวนี้ บอกเราว่าเราพูดปลอบใจเขาหรือเปล่า meepole บอกว่า "เปล่านี่คือ คำกล่าวจากส่วนหนึ่งในโอวาทสี่ของท่านเหลี่ยวฝาน" ที่ได้อ่านตั้งแต่ 15 ปีที่แล้ว และจดจำไว้ (ไปค้นที่แน่นอนมาลงไว้ข้างล่างนี้)

 "ธรรมชาติแห่งการมีบุตรธิดา
ถ้ามองตามทัศนะของกฎแห่งกรรมแล้ว
ก็คือ การเปิดหน้าบัญชีลูกหนี้เจ้าหนี้
ขึ้นมาสะสางกันอีกวาระหนึ่ง
บุตรธิดาบางคนเกิดมาทวงหนี้
ก็ทำตัวดื้อรั้นอวดดี
ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายเสียหาย
จนบิดามารดาไม่มีความสุขตลอดเวลา
ส่วนที่เกิดมาใช้หนี้บุญคุณ
ที่ติดค้างกันอยู่ในภพก่อนๆ
ก็มีความกตัญญูกตเวที ว่านอนสอนง่าย
เป็นที่พึ่งทั้งทางกาย และทางใจของบิดามารดา
นำความปลื้มปิติ ความภาคภูมิใจ
มาให้บิดามารดามีความสุข ความอิ่มใจอยู่เสมอ

กุศลกรรมและอกุศลกรรมในอดีต
ล้วนเป็นเหตุปัจจัยให้ชีวิตต้องเวียนว่าย มาพบกันอีก
ตามกระแสของวิบากกรรม
มาเป็นพ่อแม่กันตามกรรมดีกรรมชั่ว
ที่แต่ละคนได้ก่อให้เกิดความสัมพันธ์กันมาแต่อดีต
ผู้ใดมิได้ก่อหนี้กรรมไว้กับใครเลย
ก็ย่อมไม่มีผู้ใดตามมาทวงหนี้หรือมาใช้หนี้
ก็ทำให้ไม่มีบุตรธิดาในชาติปัจจุบัน
ซึ่งในกรณีเช่นนี้มีน้อยมาก
ท่านเหลี่ยวฝานจึงมิได้กล่าวไว้ (ผู้ถอดความ)"

แต่ที่ meepole เชื่อว่าบางคู่ที่ไม่มีลูกเพราะไม่มีหนี้กรรมนั้น เพราะเห็นชีวิตการเป็นอยู่ของเขาที่พร้อมทุกอย่าง ทั้งหน้าที่การงาน การเงิน ชีวิตสบายๆไม่มีอะไรลำบาก ก็แสดงว่าเขามีการสะสมบุญมามากพอควร เพียงแต่บางคู่ทุกข์เพราะอยากมีทายาทไว้สืบสกุล สืบ DNA ของตน บางคู่อยากมีไว้สืบทอดสมบัติที่หามามากมาย บางคู่กลัวลำบากตอนแก่ (ก็เลยทุกข์เพราะความอยากมี ไม่ได้ทุกข์เพราะไม่มี)

จริงๆแล้วหากคิดได้ คิดเป็น คิดถูกทาง ก็จะไม่ทุกข์เลย แถมหากรู้จักใช้โอกาสที่หายากเช่นนี้ให้เป็นประโยชน์ ใช้ชีวิตที่มีอิสระสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ชีวิตก็แสนสุข ไม่ต้องไปไขว่คว้าหาทุกข์เอาเด็กที่ไหนมาเลี้ยงให้เป็นห่วงต่ออีกหลายๆต่อ...ดังนั้นการมีหรือไม่มีลูกไม่ได้เป็นเหตุให้ทุกข์หรือสุขเพิ่มขึ้น เพียงหากแต่เรารู้จักมองให้ถูก ใช้ชีวิตให้เป็น อะไรๆก็สงบเย็นได้ (เชื่อเถอะมันเป็นเช่นนั้นจริงๆค่ะ ไม่ได้ปลอบใจ หรือพยายามคิดบวก ใครทุกข์กังวลเพราะไม่มีหนี้ชีวิตก็ลองคิดใหม่นะคะ :)

ที่มา: โอวาทสี่ของเหลี่ยวฝาน  แปลโดย เจือจันทน์ อัชพรรณ

Friday, 4 May 2012

จัดระเบียบชีวิต


by meepole

แนวคิดเชิงบวกบอกว่า ปรับเปลี่ยนวิธีคิด ชีวิตก็เปลี่ยน

การจัดระเบียบชีวิตก็เหมือนการจัดโต๊ะทำงานหากเราวางของกลาดเกลื่อนสะเปะสะปะ ไม่มีระเบียบ พื้นที่ว่างก็จะน้อยลง กองของเพิ่มขึ้นทุกวันๆ มองไปก็จะรู้สึกรก ยุ่งเหยิงมากขึ้นๆ ไม่สบายตา อาจรู้สึกอึดอัดหากต้องการพื้นที่ว่างเพราะต้องโกยอะไรๆออกไปสุมอีกที่ หากเราจัดเวลา หรือตั้งใจเต็มที่ว่าต้องจัดโต๊ะใหม่เพราะรู้สึกว่ามันจะรกมากไป หรือจำเป็นต้องจัดเพราะไม่มีที่กองแล้ว เมื่อเราจัดเสร็จเชื่อเถอะว่าย่อมต้องเกิดพื้นที่ว่างเพิ่มขึ้นแน่นอน ดูแล้วสบายตา สบายใจ ถึงขนาดอาจตั้งใจเลยว่า ต่อไปนี้จะไม่สุมกองเกะกะอีกแล้ว (แล้วก็ทำได้ไม่กี่วัน J ) ชีวิตเราก็เหมือนกัน เราทำงานๆๆๆ วุ่นวายกับเรื่องราวต่างๆมากมายในแต่ละวัน หลายคนมีเวลาพักก็คือนอนอย่างเดียว ไม่มีเวลาสำหรับธรรมชาติที่สวยงาม เวลาสำหรับการมองดูตัวเอง มองรอบตัว ฯ

คนเรามีเวลาที่เท่ากัน การใช้เวลาของแต่ละคนจึงสะท้อนถึงความแตกต่างกัน หากเรารู้จัก “จัดระเบียบการดำเนินชีวิต ชีวิตก็เปลี่ยน" ไม่ว่าจะเป็นการรื้อปฏิวัติใหม่หมด หรือจัดให้กระชับขึ้นเพราะเราอาจใช้เวลาไปกับเรื่องไร้สาระ ฟุ่มเฟือยไม่ได้เกิดประโยชน์ที่ให้คุณค่าแก่อะไร จัดระเบียบดีๆเราอาจมีเวลาเหลือที่จะสร้างสรรค์อะไรดีๆ หรือเป็นเวลาพักผ่อน มีกิจกรรมชีวิตที่อยากทำแต่ไม่มีเวลาทำก็จะได้ทำ

Meepole ชอบคำกล่าวนี้มาก

ครั้งหนึ่งเมื่อมีคนถามองค์ดาไลลามะว่า อะไรเป็นเรื่องที่ท่านรู้สึกแปลกใจมากที่สุดเกี่ยวกับมนุษยชาติ ท่านได้ตอบว่า

มนุษย์เรานึ้ยอมสูญเสียสุขภาพเพื่อทำให้ได้เงินมา แล้วต้องยอมสูญเสียเงินตรา เพื่อฟื้นฟูรักษาสุขภาพ แล้วก็เฝ้าเป็นกังวลกับอนาคต จนไม่มีความรื่นรมย์กับปัจจุบัน ผลที่เกิดขึ้นจริงๆ คือ เขาไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน หรือแม้กระทั่งอยู่กับอนาคต เขาดำเนินชีวิตเสมือนหนึ่งว่าเขาจะไม่มีวันตาย และแล้วเขาก็ตายอย่างไม่เคยมีชีวิตอยู่จริง

ดังนั้นชีวิตเราไม่ได้ยืนยาวมาก วันเวลากลืนกินตัวเองหมดไปทุกวันๆ เราควรจะต้องมาคิดพิจารณากันอย่างจริงจังว่าจะทำอย่างไรให้ชีวิตที่ยังเหลือยู่อีกไม่นาน (นับได้) เป็นชีวิตที่มีคุณค่าและมีคุณภาพที่สุด และ
อย่าลืมมาเริ่มต้นจัดระเบียบชีวิต เพื่อให้เหลือพื้นที่ "ว่าง" สำหรับชีวิต