Monday 14 May 2012

ไม่มีหนี้ชีวิต/ไม่มีลูก


เมื่อ 2 วันที่ผ่านมาได้เจอเพื่อนเก่าที่เรียนด้วยกันตั้งแต่ปริญญาตรี (mike) ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าใด ความรู้สึกของความเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันยังไม่เคยเปลี่ยนแปลง เป็นเพราะสมัยก่อนนั้นมหาวิทยาลัยมีไม่กี่คณะ และนักศึกษาแต่ละคณะมีน้อย มหาวิทยาลัยจึงเหมือนบ้านที่สองที่พวกเรากิน นอน เล่น ร่วมทุกข์ (เวลาจะสอบ) ร่วมสุข (เวลาสอบเสร็จ) พวกเราอยู่หอพักของมหาวิทยาลัยหอเดียวกัน จึงเจอกันตลอดยกเว้นเวลาเรียนที่แยกกันไปตามวิชาเอก (คณะวิทยาศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ หาดใหญ่)  รุ่นเราแรกเข้ามี 100 กว่าคน ตอนจบเหลือ 60 กว่าคน ตายไประหว่างเรียน 2 คน พวกเราเลยเป็นครอบครัวเล็กๆ ตอนค่ำก็ไปเยี่ยมเยือนคุยกันแล้วก็แยกย้ายมาทำการบ้านในตอนค่ำ มีปัญหาทำไม่ได้ก็ไปถามกันเพราะห้องพักแค่ตะโกนกันก็ได้ยิน สำหรับเรากะ mike มีส่วนพิเศษเพิ่มคือ สมัยเรียน mike เป็นสาวที่แต่งตัวเนี๊ยบ สำหรับเด็กชนบทอย่างเราเห็นแล้วชอบ เป็นคนเดียวในคณะวิทย์ตอนนั้นที่แต่งหน้า ทาปากสวย พวกเราส่วนใหญ่ใช้แป้งกระป๋องโปะๆลูบๆหน้าแล้วจบ ที่จำได้แม่นคือไมค์ชอบเต้นลีลาศมาก มากขนากขาหักเข้ารพ.นานหน่อยใส่เฝือก ไปเยี่ยมยังเห็นนั่งลอยขาเต้นลีลาศตอนนั้นคงแอบนินทาในใจว่าเป็นเอามากเลยจำได้จนบัดนี้ ผ่านมาได้ 30 ปีแล้วกระมัง แม้ว่าจะไม่ได้ติดต่อกันบ่อยนักด้วยร ะยะทาง ภาระงาน ฯ แต่เมื่อมีธุระ หรือใครประสบเหตุอะไรก็มีข่าวมีการติดต่อด้วย mail โทรศัพท์กัน มีการเลี้ยงรุ่นต่างๆปีละครั้งแต่เราไม่ได้ไปร่วมเพราะไม่ได้ลางานสอน

ครั้งนี้เมื่อ mike มาก็มีการระดมเพื่อนเก่าที่อยู่ที่นี่และเพื่อนที่อยู่กทม.ซึ่งเป็นกลุ่มที่เรียนกันที่หาดใหญ่วิทยาลัย ทำให้เราได้รู้จักเพื่อนใหม่เพิ่มขึ้น บางคนรู้จักก่อนหน้านี้ หลายคนทั้งที่เป็นคนในท้องถิ่นแต่ก็มารู้จักกันเพราะ mike ทุกคนน่ารัก น่าคบหาเพราะวัยนี้แล้วไม่มีอะไรที่เป็นภาระมากนัก นอกจากจะหาภาระมาเพิ่มกันเอง เพราะภาระที่มีคงน้อยไป ฟังพวกเขาคุยแล้วเพลินๆทุกเรื่อง ไม่ว่าเขาจะกำลังสนใจทำธุรกิจใหม่ หรือทำขยายจากที่มีเดิมก็สบายๆไม่เคร่งเครียด

ครั้งนี้ก็เป็นเรื่องแปลกที่คุยไปคุยมาบางคนโยงใยรู้จักรุ่นก๋ง ยาย พ่อแม่ พี่น้องกันไปหมด คุณนิดกลายเป็นว่าเคยเป็นลูกศิษย์ของแม่ meepole เขาเคยเรียนภาษาอังกฤษที่แม่สอนที่โรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์สมัยก่อนโน้นตอนเธอเรียนป.5 แต่เธอจำชื่อ บุคลิก หัวข้อการสอนของแม่ได้แม่นเพราะเธอประทับใจ ก็บอกให้แม่ดีใจไปแล้วที่ยังมีศิษย์จำได้ แม้นานมากๆ

คุยๆกันก็รู้ว่าคุณนิดและสามีที่เป็นเพื่อน mike ไม่มีลูก เขาบอกว่าคงเป็นกรรม แต่เราก็บอกว่าไม่ไช่กรรมหรอก ดีแล้วเขาถือว่าไม่มีหนี้ชีวิต สามีคุณนิดสนใจคำกล่าวนี้ บอกเราว่าเราพูดปลอบใจเขาหรือเปล่า meepole บอกว่า "เปล่านี่คือ คำกล่าวจากส่วนหนึ่งในโอวาทสี่ของท่านเหลี่ยวฝาน" ที่ได้อ่านตั้งแต่ 15 ปีที่แล้ว และจดจำไว้ (ไปค้นที่แน่นอนมาลงไว้ข้างล่างนี้)

 "ธรรมชาติแห่งการมีบุตรธิดา
ถ้ามองตามทัศนะของกฎแห่งกรรมแล้ว
ก็คือ การเปิดหน้าบัญชีลูกหนี้เจ้าหนี้
ขึ้นมาสะสางกันอีกวาระหนึ่ง
บุตรธิดาบางคนเกิดมาทวงหนี้
ก็ทำตัวดื้อรั้นอวดดี
ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายเสียหาย
จนบิดามารดาไม่มีความสุขตลอดเวลา
ส่วนที่เกิดมาใช้หนี้บุญคุณ
ที่ติดค้างกันอยู่ในภพก่อนๆ
ก็มีความกตัญญูกตเวที ว่านอนสอนง่าย
เป็นที่พึ่งทั้งทางกาย และทางใจของบิดามารดา
นำความปลื้มปิติ ความภาคภูมิใจ
มาให้บิดามารดามีความสุข ความอิ่มใจอยู่เสมอ

กุศลกรรมและอกุศลกรรมในอดีต
ล้วนเป็นเหตุปัจจัยให้ชีวิตต้องเวียนว่าย มาพบกันอีก
ตามกระแสของวิบากกรรม
มาเป็นพ่อแม่กันตามกรรมดีกรรมชั่ว
ที่แต่ละคนได้ก่อให้เกิดความสัมพันธ์กันมาแต่อดีต
ผู้ใดมิได้ก่อหนี้กรรมไว้กับใครเลย
ก็ย่อมไม่มีผู้ใดตามมาทวงหนี้หรือมาใช้หนี้
ก็ทำให้ไม่มีบุตรธิดาในชาติปัจจุบัน
ซึ่งในกรณีเช่นนี้มีน้อยมาก
ท่านเหลี่ยวฝานจึงมิได้กล่าวไว้ (ผู้ถอดความ)"

แต่ที่ meepole เชื่อว่าบางคู่ที่ไม่มีลูกเพราะไม่มีหนี้กรรมนั้น เพราะเห็นชีวิตการเป็นอยู่ของเขาที่พร้อมทุกอย่าง ทั้งหน้าที่การงาน การเงิน ชีวิตสบายๆไม่มีอะไรลำบาก ก็แสดงว่าเขามีการสะสมบุญมามากพอควร เพียงแต่บางคู่ทุกข์เพราะอยากมีทายาทไว้สืบสกุล สืบ DNA ของตน บางคู่อยากมีไว้สืบทอดสมบัติที่หามามากมาย บางคู่กลัวลำบากตอนแก่ (ก็เลยทุกข์เพราะความอยากมี ไม่ได้ทุกข์เพราะไม่มี)

จริงๆแล้วหากคิดได้ คิดเป็น คิดถูกทาง ก็จะไม่ทุกข์เลย แถมหากรู้จักใช้โอกาสที่หายากเช่นนี้ให้เป็นประโยชน์ ใช้ชีวิตที่มีอิสระสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ชีวิตก็แสนสุข ไม่ต้องไปไขว่คว้าหาทุกข์เอาเด็กที่ไหนมาเลี้ยงให้เป็นห่วงต่ออีกหลายๆต่อ...ดังนั้นการมีหรือไม่มีลูกไม่ได้เป็นเหตุให้ทุกข์หรือสุขเพิ่มขึ้น เพียงหากแต่เรารู้จักมองให้ถูก ใช้ชีวิตให้เป็น อะไรๆก็สงบเย็นได้ (เชื่อเถอะมันเป็นเช่นนั้นจริงๆค่ะ ไม่ได้ปลอบใจ หรือพยายามคิดบวก ใครทุกข์กังวลเพราะไม่มีหนี้ชีวิตก็ลองคิดใหม่นะคะ :)

ที่มา: โอวาทสี่ของเหลี่ยวฝาน  แปลโดย เจือจันทน์ อัชพรรณ