Saturday, 21 April 2012

ชีวิตใหม่ในบ้าน..น่ารัก ขอบอก

แม่(พ่อ?)นกคอยระวังภัยให้ลูกบนต้นไม้สูง/ บนระเบียง/ บนหลังคา


ปีใหม่ไทยนี้โชคดี มีชีวิตใหม่น้อยๆเกิดในบ้าน เห็นความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูกแล้ว รู้สึกสุขใจ และก็อดคิดเปรียบเทียบกับ "คน" หลายๆคนไม่ได้ ที่รักสนุก ท้องแล้วก็ทำแท้ง ไม่น่าเชื่อว่าเป็น "สัตว์ประเสริฐ" จริงๆ

meepole โชคดีที่ได้พบเห็น แม้ว่าจะไม่เห็นตอนเป็นไข่ แต่ได้ทันเห็นตอนที่เพิ่งออกจากไข่ โดยเป็นการเจอแบบบังเอิญที่สวนตอนหน้าระเบียง เคยฉีดน้ำระยะไกลไปรดน้ำต้นไม้แถวนั้นหลายครั้ง คิดแล้วหวาดเสียวโชคดีที่เขารอดมาได้ แปลกที่เขาเลือกทำรังในตัวลิงปูนปั้นที่แขวนใต้ต้นไม้ 



 ตั้งแต่เจอเขาก็ช่วยดูแลเรื่องความร้อนที่ส่องตรง ทำที่ปิดรังให้เขาทุกวัน เพราะลมพัดแรง ฝนตกก็ต้องไปช่วยเอาใบไม้บัง เพราะแม่นกคงทำไม่ได้ ตอนแรกใบบอนยังไม่เหี่ยวก็ช่วยปิดกั้นแสงแดดได้ ตอนที่ meepole เจอนั้นใบเหี่ยวแล้ว 2 ใบ แสงเลยส่องตรง ครั้งแรกที่เห็นไม่รู้ว่าเป็นตัวอะไร เห็นเป็นก้อนกลมๆ ตกใจนึกว่างู หรือค้างคาว เพราะเป็นก้อนกลมๆ ดำๆกระจุกกันอยู่ กว่าจะเดาได้ว่าเป็นนกก็รูปที่เห็นนี่ ...เห็นปาก หุ หุ

เมื่อแน่ใจว่าเป็นนกแน่แล้ว ก็รอดูว่าใครเป็นพ่อแม่ เพราะที่บ้านมีนกหลายประเภท มาเวียนเล่นหน้าระเบียงทุกวัน เลยยากจะคาดเดา นั่งคอยมองจนเห็นว่าเจ้านกกางเขนบินพรวดออกมาจากบริเวณนั้น แน่ใจแล้วว่าเป็นลูกนกกางเขน ก็เริ่มสังเกตุชีวิตของพวกเขาทุกวัน
อันนี้กำลังร้อง" แกรกๆ"



 ทุกเช้าปกติจะได้ยินเสียงเจ้ากางเขนร้องไพเราะมาก ตอนนี้ได้ยินบ่อยขึ้น ไกล้ๆมากขึ้น เขามีแบบเพลงยาว เพลงสั้น เสียงร้องเตือน ข่มขู่ด้วย ฟังทุกวัน บางครั้งรู้สึกว่าเสียงสั้น (วี้ด- วิ่ว) เป็นเสียงใช้กล่อมลูก (หรือเปล่า?) และเสียง “ แกรกๆๆ” ใช้เตือนหรือขู่เวลามีภัย

Meepole ติดตามการเติบโตของลูกนกทุกวัน คอยเอาใบทองกวาวที่ใบใหญ่มากมาปิดกั้นแสงแดด วันไหนฝนจะตกก็จัดการตัดใบบอนใหญ่มาคลุมไม่ให้น้ำลงไปในรังได้ แม่นกอาจใจตุ้มๆต้อมๆที่เห็นเราไปวุ่นวายแถวรังลูก แต่อดไม่ได้เพราะใบบอนที่บังแสงรังของเขาเหี่ยวห้อยพับลงตามเวลา


เวลาผ่านไปไม่นานลูกนกไร้ขนก็มีขนอ่อน ขนแข็งขึ้นภายในสัปดาห์เดียว ขนก็ขึ้นจนเห็นว่าเป็นลูกนกกางเขนที่ชัดเจน


นี่เป็นรูปก่อนวันที่พวกเขาจะบินออกจากรังไป ขนละเอียดขึ้นเต็มแล้ว


13 วันที่เฝ้ามองติดตามความน่ารักของลูกนก เห็นความห่วงใย ความรักของพ่อแม่นก แล้วรักพวกเขามากขึ้นๆๆ เห็นแม่นกพ่อนกผลัดกันคาบเหยื่อมาให้ลูก ได้เหยื่อมาก็สะบัดๆ จิกๆแบบขยี้ให้ปีกแมลงหลุดหรืออะไรก็แล้วแต่ก่อนเอามาป้อนลูก ดูแล้วอ่อนโยนจัง ความระมัดระวังมากที่จะเข้ารังลูก บินเปลี่ยนที่ไปมาเหมือนจะล่อให้ดูวุ่นวาย ทั้งสองตัวจะบินสลับที่ไปมาจนแน่ใจว่าปลอดภัยจึงลงมาเกาะที่ปากทางเข้ารัง 
  ปากคาบเหยื่อ ตาระวังภัย..เพื่อลูกน้อย


9 เมษายน วันสุดท้ายที่พวกเขาโบยบินไป กลับจากข้างนอกบ้าน ก็แวะดูพวกเขาตามปกติ เห็นรังว่างเปล่า เห็นแล้วใจหาย รู้แล้วว่าวันนั้นมาถึง วันที่พ่อแม่เขารอคอย ลูกแข็งแรงและบินได้ คงทำให้พ่อแม่นกคู่นั้นสุขใจ หลังจากนั้นตามเฝ้าดูว่าพวกเขาเอาลูกไปไหน ในที่สุดก็เจอ หลังจากนั้นสองสามวัน ตัวกลมน่ารักมาหาหนอน

ลูกนกตัวยังกลมๆอยู่ลงมาหาแมลง



แล้วตัวนึงก็บินขึ้นไปเกาะบนกำแพง งง กับภาพที่เห็นเขากางปีกออกมาโอบ หรือผึ่งปีกก็ไม่แน่ใจว่าทำไม

ตอนนี้ชีวิตใหม่กำเนิดขึ้น เติบโต ร่าเริง อยู่ที่ต้นไทรริมคลองหลังบ้าน ตอนเช้า-เย็น ยังคงได้ยินเสียงเพลงบรรเลง เป็นเสียงบอกให้เรารู้ว่าพวกเขายังอยู่ และมีความสุข คงสร้างครอบครัวกันในไม่ช้า อย่าลืมมาใช้บริการต้นไม้ใน "บ้านมีชีวิต" หลังนี้อีกนะจ๊ะ

 ชีวิตที่ดำเนินไปในแต่ละวัน อย่าเร่งรีบจนลืมเอาใจใส่สิ่งน่ารักๆ รอบๆตัวเรา เพียงแต่ให้เวลาเอาใจใส่ ก็จะมองเห็น

 ความสุขอยู่รอบๆ ไกล้ตัวเราจริงๆ หาไม่ยากเลย :) :)

Friday, 13 April 2012

ตั้งจิตให้ดี ปีใหม่ของไทย

 คลองหลังบ้าน

ดอกโฮย่า หน้าบ้าน

วันนี้วันสงกรานต์ ปีใหม่ของคนไทย 

ขอให้ทุกท่านที่ได้เข้ามาเจอกัน ณ.ที่นี้

มีความสุขสดชื่น สดใส เบิกบาน เหมือนดอกไม้ยามเช้า และ
ให้ชีวิตเย็น สงบ สบาย เหมือนธารน้ำที่ใสสงบ นะคะ :)


เทศกาลสงกรานต์ เราคนไทยถือเป็นวันปีใหม่แบบไทย โดยทั่วไปคนทุกชาติทุกภาษา ก็มีความเชื่อกันในเรื่องการขึ้นปีใหม่ว่าเป็นช่วงที่ดีแห่งการเริ่มต้น และการรับสิ่งใหม่ที่มงคลแก่ชีวิตเข้ามาอีกด้วย ซึ่งนับว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้เราได้เริ่มต้นสิ่งใหม่ที่ดีๆ เราทุกคนจะได้ใช้ฤกษ์ดังกล่าวตั้งจิตอธิษฐานที่จะทำสิ่งที่ดี ที่ถูกต้อง เป็นกุศลให้มากขึ้น ด้วยการบำรุงรักษาตัวเราให้ดีทั้งกาย วาจาและใจ และเผื่อแผ่ความรัก ความเอื้ออาทรนี้ ไปยังเพื่อนร่วมโลก เพื่อโลกเราใบนี้จะได้เป็นโลกที่น่าอยู่ต่อไป


ดอกหอมเจ็ดชั้น ในสวน ระยะที่สอง (สีขาว)

เริ่มต้นทำในสิ่งที่ดีๆ ให้กับชีวิต และผู้คนรอบข้างนะคะ ความสุข สงบเย็น อยู่รอบๆตัวเรานี่เอง :)

Wednesday, 4 April 2012

ไม่มีตัวตน 2: เรือเปล่า

ที่มาภาพ: cityyearnh.wordpress.com


ก่อนอื่นขออนุญาตปูทางเดินเข้าสู่การ “ไม่มีตัวตน “ด้วยเรื่อง " เรือเปล่า"  ซึ่งท่านพระไพศาล วิสาโลได้เขียนไว้ meepole  ขอยกบางส่วนที่ให้หลักคิดที่ดีมาก อ่านเข้าใจง่ายมาเพื่อเป็นประโยชน์ และเชื่อมต่อกับตอนอื่นๆต่อไป (เรื่องนี้ meepole ได้เก็บไว้นานแล้ว และนำมาอ่านเป็นระยะๆ)

เรื่อง เรือเปล่า เป็นเรื่องที่เล่าโดยจางจื๊อซึ่งเป็นปราชญ์จีนโบราณ เริ่มต้นด้วยการเล่าว่า... ชายคนหนึ่งพายเรืออยู่ในแม่น้ำ ถ้าหากมีเรือเปล่าลำหนึ่งมาชนเข้า แม้เจ้าของเรือกรรเชียงจะเป็นคนเจ้าโทสะ เขาก็คงโกรธไม่ได้มาก แต่ถ้าเห็นคนอยู่ในเรือนั้น เขาคงต้องตะโกนบอกให้พายเรือหนีไปให้พ้น ถ้าอีกฝ่ายยังไม่ได้ยิน ก็ต้องตะโกนดังขึ้นเรื่อย ๆ จนอาจถึงต้องร้องด่า ทั้งนี้ก็เพราะมีคนอยู่ในเรือลำนั้น แต่อากัปกิริยาดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าหากไม่มีคนอยู่ในเรือลำนั้น หรือเป็นเรือเปล่า ดังนั้นจางจื๊อจึงแนะให้เราทำเรือของเราให้ว่างเปล่า หรือทำตนเป็น เรือเปล่าเพื่อจะได้ข้าม แม่น้ำอย่างสะดวกสบาย ไม่มีใครมาขัดขวางหรือกระทบกระทั่งด้วย

มองอย่างพุทธ เรือเปล่า ก็คือจิตที่ว่างเปล่าจากตัวตน หรือพูดให้ถูกต้องกว่านั้นก็คือจิตที่ว่างเปล่าจากความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนนั่นเอง ผู้ที่มีจิตว่างเปล่าตามนัยดังกล่าวย่อมอยู่ในโลกนี้ได้อย่างราบรื่นและผาสุก แม้จะไม่ถึงกับปลอดพ้นจากการถูกตะโกนด่าว่าดังเรือเปล่าของจางจื๊อ แต่คำตะโกนด่าว่านั้นย่อมไม่อาจทำให้ทุกข์ได้ เพราะไม่มี ตัวตนออกไปรับ คำด่า ถ้ามีตัวตนหรือยึดมั่นถือมั่นใน ตัวกูเมื่อไร ก็อดไม่ได้ที่จะเอาคำด่านั้นมาเป็น ของกู เกิดความสำคัญมั่นหมายว่า ตัวกูถูกด่า หรือมี ตัวกูเป็นเป้าให้คำด่าว่านั้นเข้ามากระทบกระแทก

ตัวตนหรือความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนนั้น เป็นที่มาแห่งความทุกข์ทั้งหลายของมนุษย์ ไม่ใช่แค่ทุกข์เพราะถูกต่อว่าเท่านั้น หากยังทุกข์เมื่อประสบกับความสูญเสียพลัดพราก เพราะไปสำคัญผิดว่าสิ่งที่สูญเสียไปหรือบุคคลที่พลัดพรากไปนั้นล้วนเป็น ของกู

เหตุใดผู้คนจึงทุกข์กันง่ายและทุกข์กันมากเหลือเกิน คำตอบก็คือเพราะไม่รู้เท่าทันความจริงข้อนี้ แถมยังเน้นตัวตนกันมากขึ้น จึงเกิดความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนอย่างสูง อะไรก็ตามที่ปรนเปรอ พะเน้าพะนอ หรือตอบสนองความต้องการของตัวตน เป็นต้องทำหรือหามาให้ได้ ดังนั้นจึงเกิดความต้องการไม่รู้จักหยุดหย่อน

คนเรานั้นยากที่จะยอมรับได้ว่าตัวตนไม่มีอยู่จริง กล่าวได้ว่าเป็นสัญชาตญาณของคนเราที่ต้องการมีตัวตนให้เป็นที่ยึดมั่น ดังนั้นจึงพยายามกดความลังเลสงสัยนี้เอาไว้ลึกลงไปถึงจิตไร้สำนึก แม้กระทั่งการดิ้นรนอยากมีชื่อเสียงหรืออยากดัง ซึ่งเป็นพฤติกรรมยอดนิยมของคนยุคปัจจุบัน ก็อธิบายได้ด้วยสาเหตุเดียวกัน การที่ผู้คนอยากให้ตนเองเป็นที่รู้จัก ลึกลงไปแล้วก็เพื่อยืนยันว่าตัวฉันมีอยู่จริง เพราะถ้าไม่มีคนรู้จัก ก็เท่ากับเป็น “ nobody” คือนอกจากชีวิตจะไม่มีความหมายแล้ว ยังหมายถึงการไม่มีตัวตนในสังคม ลึกไปกว่านั้นยังตอกย้ำความสงสัยในความไม่มีตัวตนให้หนักขึ้น

คนจำนวนไม่น้อยจึงพยายามแสวงหาวัตถุมาครอบครองให้มากที่สุด ไม่ใช่เพื่อความสะดวกสบายหรือเพื่อปรนเปรอตัวตนเท่านั้น จุดหมายที่ลึกลงไปกว่านั้นก็คือเพื่อถือเอาสิ่งเหล่านี้มาเป็น ตัวกู ของกู หรือเพื่อยืนยันความมีอยู่ของตัวตน อะไรที่เป็นวัตถุรูปธรรม จิตก็อยากเข้าไปยึดถือเป็นตัวตน ทั้งนี้เพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่ตัวตน และเพื่อความมั่นคงของจิตใจ
คำกลอน: พุทธทาสภิกขุ

ตัวตนนั้นไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่จริง แต่เกิดจากการปรุงแต่งขึ้นมาเองของจิต (ซึ่งตัวมันเองก็ไม่มีตัวตนอยู่เช่นกัน) เมื่อปรุงแต่งแล้วก็เข้าไปยึดมั่นถือมั่นซ้ำเข้าไปอีก หากแต่ “ความเป็นฉัน” นั้นเป็นสิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้นเอง หาได้มีจริงไม่ อย่างเช่น “ฉัน” เป็นพ่อแม่เมื่ออยู่กับลูก “ฉัน” เป็นอาจารย์เมื่อพบหน้าศิษย์ และ“ฉัน” เป็นลูกน้องเมื่อไปหาเจ้านาย ความแปรเปลี่ยนอยู่เสมอของ ตัวกู หรือ “ความเป็นฉัน เกิด-ดับ อยู่ตลอดเวลา เพราะมันไม่มีจริง

ทางออกจากทุกข์ที่แท้จริงนั้นไม่ได้อยู่ที่การแสวงหาตัวตนที่เที่ยงแท้ยั่งยืนหรือมั่นคงให้ได้ แต่อยู่ที่การยอมรับความจริงเสียแต่แรกว่าตัวตนนั้นหามีอยู่จริงไม่ รวมทั้งขจัดความกลัวที่ไม่มีตัวตนอยู่จริง การยอมรับดังกล่าวไม่ได้เกิดจากการคิดเอง แต่เกิดจากการประจักษ์ถึงมายาภาพของตัวตน เห็นถึงอาการของจิตที่ปรุงแต่งความเป็นตัวฉันขึ้นมา รวมทั้งตระหนักถึงโทษของการยึดมั่นถือมั่นในตัวตนว่าทำให้เป็นทุกข์เพียงใด

การมีปัญญาเห็นความจริงดังกล่าวอย่างถึงที่สุดอาจเป็นกระบวนการที่ใช้เวลายาวนาน แต่เราก็สามารถฝึกฝนตนเองได้ในชีวิตประจำวัน

มีคำกล่าวของซุนวู ที่ว่าบุกต้องมิหวังคำยกย่อง ถอยต้องมิกลัวอับอาย จะรุกหรือถอยก็เพราะคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมหรือ ความถูกต้อง เป็นที่ตั้ง ไม่ใช่เพราะเอาตัวตนหรือ ความถูกใจ เป็นใหญ่

ด้วยวิธีนี้แหละ เราจึงจะค่อย ๆ กลายเป็น “เรือเปล่า ที่ข้ามฝั่งได้อย่างราบรื่นและปลอดภัย

ที่มา: "เรือเปล่า" พระไพศาล วิสาโล จิตวิวัฒน์ ตุลาคม ๒๕๔๘ 

Sunday, 1 April 2012

ไม่มีตัวตน (1)


ก่อนอื่นขออนุญาตทำความเข้าใจก่อนว่าเรื่องที่เขียนนี้จะมีสองส่วน ส่วนแรกจะเป็นเรื่อง ความไม่มีตัวตน” ตามแนวทางคำสอนแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่มีพระสงฆ์ผู้ได้ศึกษาและนักวิชาการนำมากล่าวไว้ในลักษณะต่างๆ ซึ่ง meepole ได้แต่เป็นเพียงผู้รวบรวม เรียบเรียงมาจากหลายๆแหล่งเพื่อทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นหรือใช้เวลาสั้นลงในการที่จะทำความเข้าใจ และเข้าถึง การไม่มีตัวตน”  เพราะเรื่องนี้มีนานาทัศนะเขียนไว้ ตามการตีความและความเข้าใจของแต่ละท่าน ทั้งนี้ก็เป็นไปเพื่อให้เข้าใจ และสามารถปฏิบัติได้จริง  meepole เป็นเพียงผู้ได้อ่านศึกษาเรื่องนี้มาต่อเนื่องเป็นเวลานาน พยายามทำความเข้าใจหลายๆเรื่อง และปฏิบัติฝึกตน นำมาใช้ในชีวิตประจำวัน จนสามารถพบสุขที่สงบได้จริง ไม่มีอะไรมาวุ่นวาย แม้กระทบ แต่ไม่กระเทือน ได้แนะนำผู้ที่มีโอกาสสนทนามากมาย ทุกคนที่พยายามปฏิบัติก็ค่อยๆเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น จึงทำให้มีความคิดที่จะเขียนหลายครั้ง หากแต่เวลาไม่อำนวยนัก แม้ครั้งนี้ที่เขียนเป็นเพราะข้อเขียนของกัลยาณมิตรจากการเขียนบล็อก “คุณปริม” และผู้กระตุ้นให้ต้องเขียนจริงๆเสียทีคือ “คุณ “Poo”

หากการเขียนยังไม่มีความสมบูรณ์ครบถ้วนประการใด ขอน้อมรับความอ่อนด้อยของผู้เขียนที่ยังต้องศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมอีกต่อไป meepole มีความหวังให้ทุกท่านที่ได้เข้ามาอ่าน ลองพิจารณาดู แม้ว่าหลายสิ่งในนี้ท่านอาจมีความรู้นี้มาก่อนแล้ว หากได้นำไปปฏิบัติก็จะพบความสุขที่สงบในท่ามกลาง และในที่สุด

ในส่วนที่สองเป็นส่วนที่ของการปฏิบัติตนให้ไม่มีตัวตนแบบ่งายๆ  เพียงแค่ เข้าใจ คิดถูก คิดเป็น แล้วทำเท่านั้นเอง ใครๆก็ทำได้ไม่ยาก อยู่ที่วิธีคิด แล้วเอามาประพฤติปฏิบัติ ค่อยๆละ ค่อยๆวาง ก็จะเบาลงในที่สุด







ลองย้อน “มองดูตน จากเรื่องนี้ก่อนนะคะ
หากเรารู้ว่าโลกเราในปัจจุบันถึงอนาคตจะเต็มไปด้วยน้ำ น้ำอาจท่วมโลก หรือน้ำจะมาท่วมทุกๆที่  สิ่งแรกที่เราคิดว่าน่าจะทำหรือเตรียมคืออะไร ... ??         
จะมีคนสองกลุ่ม กลุ่มแรก  คิดว่าเป็นไปไม่ได้ เลยไม่คิดอะไร ไม่ทำอะไร อยู่ไปเรื่อยๆปล่อยให้พวกกลัวคิดทำต่อไปกันเอง
คนกลุ่มสอง ศึกษาคิดหาเหตุผลของความเป็นไปได้ แล้ววางแผนเตรียมการ เป็นระยะๆ ตามที่เวลาอำนวย อันนี้เรียกว่าตั้งอยู่ในความไม่ประมาท แต่ส่วนมากอีกส่วนไม่ประมาท รู้แต่ยังไม่ทำอะไรด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่มีเวลา รอก่อน แล้วก็รอๆๆๆ
ผู้ถึงพร้อม ก็คิดหาทางตามวิถีทางของแต่ละคน แต่เชื่อแน่ว่าคงมีส่วนใหญ่ที่คิดว่าต้องหัดว่ายน้ำให้เป็น จะเก่งหรือไม่เป็นอีกส่วน บางคนเริ่มหัดว่ายน้ำจากคลอง แม่น้ำใกล้บ้านเพราะประหยัดทั้งเงินและเวลา บางคนทุนทรัพย์มากก็ไปหาสระว่ายน้ำตามที่ต่างๆ ซึ่งอันนี้ต้องเตรียมชุด เตรียมครีม มีขั้นตอนมากหน่อยกว่าจะได้ว่ายน้ำ วัตถุประสงค์การว่ายน้ำก็ต่างกัน บางคนขอว่ายแค่เอาชีวิตรอดก็พอ บางคนขอเอาท่าสวยด้วย...... นี่เพียงแค่ขั้นเริ่มก็หลากหลายต่างกันแล้ว เมื่อได้หัดว่ายบางคนก็ว่ายบ้างหยุดบ้าง กว่าจะเป็นเลยใช้เวลานาน  บางคนลุยว่ายไปเลยให้เป็นในเร็ววัน อันนี้บางคนโชคดีแข็งแรงก็ว่ายได้อย่างรวดเร็ว แต่บางคนที่ไม่เคยออกกำลังกายแล้วหักโหมก็ปวดเมื่อย หรือกล้ามเนื้ออักเสบก็ต้องพัก อันนี้เพราะไม่รู้สภาพตัวเอง ใจร้อนไปหน่อย  ทุกคนใช้เวลาไม่เท่ากัน บางคนได้แต่จินตนาการจนกลัว อยากจะว่าย ไปนั่งริมน้ำบ่อยๆ  หรือไม่ก็ไปเป็นเพื่อนเขาก่อน แต่ตัวเองยังไม่หัด ก็เลยไม่เป็นเสียที แต่ทฤษฎีคล่อง  เมื่อว่ายเป็นแล้วบางคนก็หยุดว่าย เพราะรู้วิธีแล้ว  ต่อไปน้ำท่วมก็ว่ายได้แน่นอน  บางคนว่ายแล้วรู้สึกดี ว่ายเป็นแล้วก็ยังคงหมั่นฝึกฝน เพราะคิดว่าได้ความแข็งแรงด้วย บางคนคิดว่าจะฝึกให้เก่งเผื่อจะได้ช่วยคนอื่นได้ด้วย เหตุผลต่างๆกัน แล้วคุณเป็นคนกลุ่มไหน ?
มองกลับมาที่ชีวิตคนในโลกยุคปัจจุบัน เราอยู่ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้า รุดหน้าตลอดเวลา เรากำลังจะอยู่กับหุ่นยนต์มากขึ้น หากเราไม่หลอกตัวเองจะเห็นว่าคนส่วนมากอยู่ในวังวนของการแสวงหา ที่ไม่จบสิ้น ทำงาน เช้าถึงค่ำพักตอนหลับสนิท หลังจากนั้นก็ตื่นลืมตาเริ่มต้นทำงานๆๆ  วนเวียนเช่นนี้จนตายไป  เพียงเพื่อแสวงหาปัจจัยแลกกับเทคโนโลยีที่มาอำนวยความสะดวก ความสบายให้กับชีวิต บางคนอาจตั้งเป้าไว้ว่าเมื่อใด หรือเท่าไหร่จึงพอ หรือหยุด เมื่อถึงจุดๆนั้นเข้าจริงๆ บางคน(อาจ)หยุดได้ บางคนกลับหยุดไม่ได้ ด้วยสารพัดเหตุผล บางคนไม่อาจถึงจุดที่ฝันนั้น บางคนจนเลยจุดนั้นพ้นไปแล้ว แต่ไม่รู้ตัว รู้เพียงแต่ยังไม่พอๆ  บางคนหาเช้ากินค่ำจริงๆ  แต่บางคนหาจนใช้ไปอีก 3 ชั่วอายุคนได้เลย 

 จริงๆแล้วคนเราเกิดมาเพียงเพื่อแสวงหา ดิ้นรนให้มีปัจจัยเลี้ยงปากท้องให้อิ่มมีชีวิตไปวันๆ แสวงหาซึ่งความสุขจอมปลอมอย่างถอนตัวไม่ขึ้น เป็นเหตุให้ต้องเบียดเบียนผู้อื่น อย่างนั้นหรือ????   บางคนเต็มไปด้วยกิเลสภายในจิตใจ ที่เห็นแก่ได้ เอาแต่ประโยชน์ตน คนส่วนมากยังไม่รู้ตัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองจึง ตั้งอยู่ในความประมาท เห็นกงจักรเป็นดอกบัว จนถึงวันหนึ่งที่เจ็บป่วยและก็นอนรอวันตาย  บางคนไม่รู้โชคร้ายหรือดีที่ตายแบบอุบัติเหตุทันที ยังไม่ได้ทำอะไรแก่ชีวิตใหม่เลย  “เกิดมาทำไม” จึงยังคงเป็นคำถามหรือข้อสงสัยของ “ผู้มีตัวตน” ทุกผู้ทุกนาม จากทั้งหมดนี้ลองมองตัวตน ว่าเราอยู่ในกลุ่มไหน หรือยังไม่มีกลุ่ม หรือออกนอกกลุ่มไปแล้ว?
   


ตอนหน้าเริ่มต้นด้วย เรื่อง อะไรคือ”“ไม่มีตัวตน และอะไรคือ “ตัวตน” ลองคิดตามเรื่องนี้ต่อนะคะ...
http://meepolen.blogspot.com/2012/04/1-april.html (คำเกริ่น)