Sunday, 1 April 2012

ไม่มีตัวตน (1)


ก่อนอื่นขออนุญาตทำความเข้าใจก่อนว่าเรื่องที่เขียนนี้จะมีสองส่วน ส่วนแรกจะเป็นเรื่อง ความไม่มีตัวตน” ตามแนวทางคำสอนแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่มีพระสงฆ์ผู้ได้ศึกษาและนักวิชาการนำมากล่าวไว้ในลักษณะต่างๆ ซึ่ง meepole ได้แต่เป็นเพียงผู้รวบรวม เรียบเรียงมาจากหลายๆแหล่งเพื่อทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นหรือใช้เวลาสั้นลงในการที่จะทำความเข้าใจ และเข้าถึง การไม่มีตัวตน”  เพราะเรื่องนี้มีนานาทัศนะเขียนไว้ ตามการตีความและความเข้าใจของแต่ละท่าน ทั้งนี้ก็เป็นไปเพื่อให้เข้าใจ และสามารถปฏิบัติได้จริง  meepole เป็นเพียงผู้ได้อ่านศึกษาเรื่องนี้มาต่อเนื่องเป็นเวลานาน พยายามทำความเข้าใจหลายๆเรื่อง และปฏิบัติฝึกตน นำมาใช้ในชีวิตประจำวัน จนสามารถพบสุขที่สงบได้จริง ไม่มีอะไรมาวุ่นวาย แม้กระทบ แต่ไม่กระเทือน ได้แนะนำผู้ที่มีโอกาสสนทนามากมาย ทุกคนที่พยายามปฏิบัติก็ค่อยๆเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น จึงทำให้มีความคิดที่จะเขียนหลายครั้ง หากแต่เวลาไม่อำนวยนัก แม้ครั้งนี้ที่เขียนเป็นเพราะข้อเขียนของกัลยาณมิตรจากการเขียนบล็อก “คุณปริม” และผู้กระตุ้นให้ต้องเขียนจริงๆเสียทีคือ “คุณ “Poo”

หากการเขียนยังไม่มีความสมบูรณ์ครบถ้วนประการใด ขอน้อมรับความอ่อนด้อยของผู้เขียนที่ยังต้องศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมอีกต่อไป meepole มีความหวังให้ทุกท่านที่ได้เข้ามาอ่าน ลองพิจารณาดู แม้ว่าหลายสิ่งในนี้ท่านอาจมีความรู้นี้มาก่อนแล้ว หากได้นำไปปฏิบัติก็จะพบความสุขที่สงบในท่ามกลาง และในที่สุด

ในส่วนที่สองเป็นส่วนที่ของการปฏิบัติตนให้ไม่มีตัวตนแบบ่งายๆ  เพียงแค่ เข้าใจ คิดถูก คิดเป็น แล้วทำเท่านั้นเอง ใครๆก็ทำได้ไม่ยาก อยู่ที่วิธีคิด แล้วเอามาประพฤติปฏิบัติ ค่อยๆละ ค่อยๆวาง ก็จะเบาลงในที่สุด







ลองย้อน “มองดูตน จากเรื่องนี้ก่อนนะคะ
หากเรารู้ว่าโลกเราในปัจจุบันถึงอนาคตจะเต็มไปด้วยน้ำ น้ำอาจท่วมโลก หรือน้ำจะมาท่วมทุกๆที่  สิ่งแรกที่เราคิดว่าน่าจะทำหรือเตรียมคืออะไร ... ??         
จะมีคนสองกลุ่ม กลุ่มแรก  คิดว่าเป็นไปไม่ได้ เลยไม่คิดอะไร ไม่ทำอะไร อยู่ไปเรื่อยๆปล่อยให้พวกกลัวคิดทำต่อไปกันเอง
คนกลุ่มสอง ศึกษาคิดหาเหตุผลของความเป็นไปได้ แล้ววางแผนเตรียมการ เป็นระยะๆ ตามที่เวลาอำนวย อันนี้เรียกว่าตั้งอยู่ในความไม่ประมาท แต่ส่วนมากอีกส่วนไม่ประมาท รู้แต่ยังไม่ทำอะไรด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่มีเวลา รอก่อน แล้วก็รอๆๆๆ
ผู้ถึงพร้อม ก็คิดหาทางตามวิถีทางของแต่ละคน แต่เชื่อแน่ว่าคงมีส่วนใหญ่ที่คิดว่าต้องหัดว่ายน้ำให้เป็น จะเก่งหรือไม่เป็นอีกส่วน บางคนเริ่มหัดว่ายน้ำจากคลอง แม่น้ำใกล้บ้านเพราะประหยัดทั้งเงินและเวลา บางคนทุนทรัพย์มากก็ไปหาสระว่ายน้ำตามที่ต่างๆ ซึ่งอันนี้ต้องเตรียมชุด เตรียมครีม มีขั้นตอนมากหน่อยกว่าจะได้ว่ายน้ำ วัตถุประสงค์การว่ายน้ำก็ต่างกัน บางคนขอว่ายแค่เอาชีวิตรอดก็พอ บางคนขอเอาท่าสวยด้วย...... นี่เพียงแค่ขั้นเริ่มก็หลากหลายต่างกันแล้ว เมื่อได้หัดว่ายบางคนก็ว่ายบ้างหยุดบ้าง กว่าจะเป็นเลยใช้เวลานาน  บางคนลุยว่ายไปเลยให้เป็นในเร็ววัน อันนี้บางคนโชคดีแข็งแรงก็ว่ายได้อย่างรวดเร็ว แต่บางคนที่ไม่เคยออกกำลังกายแล้วหักโหมก็ปวดเมื่อย หรือกล้ามเนื้ออักเสบก็ต้องพัก อันนี้เพราะไม่รู้สภาพตัวเอง ใจร้อนไปหน่อย  ทุกคนใช้เวลาไม่เท่ากัน บางคนได้แต่จินตนาการจนกลัว อยากจะว่าย ไปนั่งริมน้ำบ่อยๆ  หรือไม่ก็ไปเป็นเพื่อนเขาก่อน แต่ตัวเองยังไม่หัด ก็เลยไม่เป็นเสียที แต่ทฤษฎีคล่อง  เมื่อว่ายเป็นแล้วบางคนก็หยุดว่าย เพราะรู้วิธีแล้ว  ต่อไปน้ำท่วมก็ว่ายได้แน่นอน  บางคนว่ายแล้วรู้สึกดี ว่ายเป็นแล้วก็ยังคงหมั่นฝึกฝน เพราะคิดว่าได้ความแข็งแรงด้วย บางคนคิดว่าจะฝึกให้เก่งเผื่อจะได้ช่วยคนอื่นได้ด้วย เหตุผลต่างๆกัน แล้วคุณเป็นคนกลุ่มไหน ?
มองกลับมาที่ชีวิตคนในโลกยุคปัจจุบัน เราอยู่ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้า รุดหน้าตลอดเวลา เรากำลังจะอยู่กับหุ่นยนต์มากขึ้น หากเราไม่หลอกตัวเองจะเห็นว่าคนส่วนมากอยู่ในวังวนของการแสวงหา ที่ไม่จบสิ้น ทำงาน เช้าถึงค่ำพักตอนหลับสนิท หลังจากนั้นก็ตื่นลืมตาเริ่มต้นทำงานๆๆ  วนเวียนเช่นนี้จนตายไป  เพียงเพื่อแสวงหาปัจจัยแลกกับเทคโนโลยีที่มาอำนวยความสะดวก ความสบายให้กับชีวิต บางคนอาจตั้งเป้าไว้ว่าเมื่อใด หรือเท่าไหร่จึงพอ หรือหยุด เมื่อถึงจุดๆนั้นเข้าจริงๆ บางคน(อาจ)หยุดได้ บางคนกลับหยุดไม่ได้ ด้วยสารพัดเหตุผล บางคนไม่อาจถึงจุดที่ฝันนั้น บางคนจนเลยจุดนั้นพ้นไปแล้ว แต่ไม่รู้ตัว รู้เพียงแต่ยังไม่พอๆ  บางคนหาเช้ากินค่ำจริงๆ  แต่บางคนหาจนใช้ไปอีก 3 ชั่วอายุคนได้เลย 

 จริงๆแล้วคนเราเกิดมาเพียงเพื่อแสวงหา ดิ้นรนให้มีปัจจัยเลี้ยงปากท้องให้อิ่มมีชีวิตไปวันๆ แสวงหาซึ่งความสุขจอมปลอมอย่างถอนตัวไม่ขึ้น เป็นเหตุให้ต้องเบียดเบียนผู้อื่น อย่างนั้นหรือ????   บางคนเต็มไปด้วยกิเลสภายในจิตใจ ที่เห็นแก่ได้ เอาแต่ประโยชน์ตน คนส่วนมากยังไม่รู้ตัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองจึง ตั้งอยู่ในความประมาท เห็นกงจักรเป็นดอกบัว จนถึงวันหนึ่งที่เจ็บป่วยและก็นอนรอวันตาย  บางคนไม่รู้โชคร้ายหรือดีที่ตายแบบอุบัติเหตุทันที ยังไม่ได้ทำอะไรแก่ชีวิตใหม่เลย  “เกิดมาทำไม” จึงยังคงเป็นคำถามหรือข้อสงสัยของ “ผู้มีตัวตน” ทุกผู้ทุกนาม จากทั้งหมดนี้ลองมองตัวตน ว่าเราอยู่ในกลุ่มไหน หรือยังไม่มีกลุ่ม หรือออกนอกกลุ่มไปแล้ว?
   


ตอนหน้าเริ่มต้นด้วย เรื่อง อะไรคือ”“ไม่มีตัวตน และอะไรคือ “ตัวตน” ลองคิดตามเรื่องนี้ต่อนะคะ...
http://meepolen.blogspot.com/2012/04/1-april.html (คำเกริ่น)