Thursday, 30 June 2011

กฎของรถขนขยะ 2

กฎของรถขนขยะ 2



วันหนึ่งเมื่อหลายปีมาแล้ว เดวิดขึ้นแท็กซี่ จากสถานีแกรนด์ เซ็นทรัล ใจกลางเมืองนิวยอร์ก ขณะที่แท็กซี่ของเขากำลังวิ่งอยู่บนเลนขวาสุด ทันใดนั้นก็มีรถสีดำคันหนึ่งพุ่งออกมาจากที่จอดรถข้างถนนตัดหน้ารถที่เขานั่งอยู่โดยไม่ดูเลยว่ามีรถคันอื่นวิ่งมาหรือเปล่า คนขับรถแท็กซี่รีบเหยียบเบรก หักพวงมาลัยหลบ ทำให้รถทีเขานั่งอยู่เสียหลักเกือบชนรถคันที่อยู่ในเลนถัดไปอย่างเฉียดฉิว เดวิดตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่สิ่งทีทำให้เขาตกตะลึงมากขึ้นคือ แทนที่จะได้เห็นท่าทางที่แสดงออกถึงการขอโทษขอโพย ชายคนขับรถสีดำคันนั้นคนที่เกือบทำให้เขาได้รับอุบัติเหตุกลับส่ายหัว ด่าทอคนขับแท็กซี่ด้วยสีหน้าและคำพูดที่ฟังแทบไม่ได้ และยิ่งไปกว่านั้นราวกับว่าสีหน้าและคำด่าทอยังถากถางไม่พอ เขายังชูนิ้วกลางขึ้นมาให้ดูชมอีก และสิ่งที่ทำให้เดวิดยิ่งตะลึงยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเขาหันไปมองคนขับแท็กซี่ของเขา คนขับแท็กซี่กลับยิ้ม โบกมือให้กับชายที่ขับรถสีดำคันนั้นอย่างเป็นมิตร เขาถามคนขับแท็กซี่อย่างงงงวยว่า "ทำไมคุณถึงไปโบกมือให้เขาอย่างนั้น เขาเกือบฆ่าเราแล้วเมื่อตะกี้" คนขับแท็กซี่ตอบว่า


"คนทั่วไปทำตัวเหมือนรถขนขยะ รถขนขยะวิ่งไปมามีขยะอยู่เต็มรถ เขาเหล่านั้นไปไหนมาไหน แบกความสับสน ความโกรธ ความผิดหวัง อยู่เต็มหัวใจ และหากขยะเหล่านั้นเพิ่มพูนมากขึ้นเขาก็ต้องหาที่ทิ้งขยะ ถ้าเราปล่อยโอกาสให้เขา เขาก็จะทิ้งขยะนั้นไว้ที่เรา ดังนั้นหากมีใครต้องการทิ้งขยะนั้นที่เรา ก็ไม่ควรรับ แค่ยิ้มและบอกว่าขอบคุณครับแต่ผมรับไม่ได้ อวยพรให้เขารู้สึกดีขึ้น ดำเนินชีวิตของเราต่อไป เชื่อเถอะ เราจะมีความสุขขึ้นอีกเยอะ"
นี่แหละคือที่มาของ กฎของรถขนขยะ

 มีต่อตอนที่ 3 นะคะ :)

หมายเหตุ บทความนี้ได้รับการเอื้อเฟื้อและอนุญาตจากคุณปริม ทัดบุปผา ผู้แปล

Monday, 27 June 2011

กฏของรถขนขยะ

"กฏของรถขนขยะ" 1

ที่มาภาพ : datingsymbol.com

ช่วงนี้กำลังเขียน และรวบรวมบทความ เรื่องน่ารู้ ลงในหนังสือ pocket book เรื่อง 3 อ เพื่อสุขภาพ จะไว้แจกในงานฉลองกุฏิ 3 หลัง ที่ meepole และสามีสร้างถวายแก่วัดพระอารามหลวง ในส่วนของ อ.ที่สาม คือ อารมณ์ นั้นได้รวมบทธรรมของพระสงฆ์และฆราวาส ได้เขียนไว้ ซึ่ง meepole  อ่านและคัดมาให้เกิดประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตที่เป็นสุขและสงบต่อไป เรื่องหนึ่งที่นำมาลงเป็นของมิตรจากแดนไกล (คุณปริม ทัดบุปผา) ที่รู้จักกันจากการติดตามงานเขียนของกันและกันในบล็อก และได้ขออนุญาตเธอนำมาลงในหนังสือเล่มนี้ด้วย ซึ่งเธอยินดีมากและอนุโมทนา จึงขอนำเพียงส่วนหนึ่งมาลงในนี้เพื่อประโยชน์ต่ออีกหลายๆท่านที่ได้มาเยือน


บ่อยครั้งไหม???...  ที่คุณปล่อยให้เรื่องที่ไม่เป็นเรื่องเข้ามาทำให้อารมณ์สดใสของคุณบูดไปอย่างง่ายดาย
บ่อยแค่ไหน???...  ที่คุณปล่อยให้อารมณ์โกรธพุ่งพล่านเมื่อคนขับรถที่ไม่มีมรรยาทตัดแซงเข้าในเลนของคุณอย่างกระทันหันในเช้าของวันที่ควรจะสดชื่น
บ่อยไหม???...  ที่ความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันในห้องประชุมกลายเป็นประเด็นการถกเถียงที่ทำให้คุณหัวเสียทั้งวัน และ
กี่ครั้งที่คุณหงุดหงิดกับ..............
หากคุณไม่ใช่เทอร์มิเนเตอร์ที่สามารถคืนสู่ร่างเดิมได้ทันทีเมื่อร่างนั้นถูกทำให้บุบสลาย คุณอาจต้องใช้เวลานานหน่อยที่อารมณ์เสียนั้นจะคืนสู่สภาพปกติ เดวิด โพเลย์ (David Pollay) นักพูดนักเขียนชื่อดังชาวอเมริกันบอกว่า คนที่จัดว่าประสบความสำเร็จได้คือ คนที่สามารถนำอารมณ์ที่ถูกกระทบกระทั่งนั้นให้เข้าสู่สภาวะปกติได้เร็วที่สุด เขาเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง และตั้งชื่อกฏนี้ว่า "กฏของรถขนขยะ"

ตอนต่อไปจะเอาเรื่องของ "กฏของรถขนขยะ" ที่คุณปริมได้แปลไว้ มาให้อ่านต่อค่ะ:)

Saturday, 25 June 2011

เป็น..มนุษย์

ที่มา: oknation.net

เมื่อวานนี้อาจารย์รุ่นน้องมาก โทรศัพท์มาคุยแล้วก็เลยเล่าเรื่องที่เธอประสบพบมาในกลุ่มสาขาที่เธอสอนอยู่ สิ่งที่ได้ยิน meepole ไม่แปลกใจ แต่ลึกๆเหนื่อยใจแทนเธอมากกว่า เพราะคาดเดาได้ว่าเธอจะต้องเผชิญอะไรต่อไปอีกนานในสังคมอาจารย์ที่ล้วนผ่านการศึกษาระดับสูงทั้งในและต่างประเทศมารวมกัน และทุกคนมี ego สูงมาก ก็ไม่แน่ใจว่าเพราะเธอเหล่านั้นอายุยังน้อย มีแต่ความรู้ แต่ความคิด และการเข้าใจการใช้ชีวิตในเส้นทางที่เป็น "มนุษย์"  อาจต้องรอเวลา เพราะคำว่า "ความรู้คู่คุณธรรม" ต้องมีการสั่งสอน

 meepole ได้ถูกอบรมสั่งสอนจากครอบครัวมาตั้งแต่เด็ก และได้เห็นจากการปฏิบัติของคนในครอบครัวมาตลอด นับเป็นโชคดีของ meepole เพราะคำสอนต่างๆได้ช่วยหล่อหลอมจิตใจ ประคับประคอง ต่อสู้เพื่อให้ทำในสิ่งที่ไม่ผิดทำนองคลองธรรมตลอดชีวิตราชการ และสามารถอยู่อย่างมีสุขที่สงบในทุกสภาพแวดล้อม เพราะสุดท้ายแล้วทุกอย่างเราเป็นคนเลือกทางเดินของเราเอง


เป็นมนุษย์เป็นได้เพราะใจสูง  เหมือนหนึ่งยูงมีดีที่แววขน
ถ้าใจต่ำเป็นได้แต่เพียงคน     ย่อมเสียทีที่ตนได้เกิดมา
ใจสะอาดใจสว่างใจสงบ        ใครมีครบควรเรียกมนุสสา
เพราะทำถูกพูดถูกทุกเวลา     เปรมปรีดาคืนวันทุกสันต์จริง
ใจสกปรกมืดมัวและร้อนเร่า    ใครมีเข้าควรเรียกว่าผีสิง
เพราะทำผิดพูดผิดจิตประวิง    แต่ในสิ่งนำตัวกลั้วอบาย
คิดดูเถิดถ้าใครไม่อยากตก     จงรีบยกใจตนรีบขวนขวาย
ให้ใจสูงเสียได้ก่อนตัวตาย      ก็สมหมายที่เกิดมาอย่าเชือนเอย.

พุทธทาสภิกขุ

Friday, 24 June 2011

กุศลกรรม - อกุศลกรรม




กุศลกรรมใดที่ทำมา  เมื่อหวนคิดถึง  ย่อมทำให้ใจเบิกบาน

อกุศลกรรมใดที่ทำมา  เมื่อหวนคิดถึง  ย่อมทำให้ใจเศร้าหมอง

ดังนั้นหากต้องการจิตที่เบิกบานทุกขณะจิต ไม่เศร้าหมอง  ก็จงใช้ชีวิตด้วยการสร้างกุศลกรรมสมำเสมอ ค่อยๆละ ลด เลิก การก่ออกุศลกรรม ต่อกันเถิด เชื่อว่าทุกท่านที่เข้ามาอ่านนี้ได้ผ่านชีวิตอย่างน้อยมาเกือบครึ่งชีวิต บางคนก็เกินแล้ว ยังเหลือเวลาที่จะจะสร้างสิ่งที่ดีๆ อีกไม่มากนัก (ไม่ถึงร้อยปี :)

ลองทบทวนดูที่ผ่านมา และที่กำลังจะผ่านไป ว่าเราได้สร้างสิ่งดีๆให้กับสังคม และชีวิตไว้มากน้อยเพียงใด แล้วเราจะรู้สึกเบิกบานกับสิ่งดีๆที่เราทำไปแล้ว และเราจะดำรงชีวิตที่เหลือต่อไปด้วยความเบิกบาน

 มาช่วยกันสร้างกุศลกรรมต่อๆไป และดำรงชีวิตด้วยความไม่ประมาทเถิด

Wednesday, 22 June 2011

แล้วสิ่งนั้นจะผ่านพ้นไป

"แล้วสิ่งนั้นจะผ่านพ้นไป"



ในการดำเนินชีวิตของเรา เราต้องประสบกับโลกธรรม 8 คือได้ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ก็ต้องมีเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์เป็นธรรมดา หากเราสามารถเตือนสติตนเองได้ว่า
"แล้วสิ่งนั้นจะผ่านพ้นไป"

ก็จะช่วยให้เราทำใจเป็นกลางทำใจเป็นปกติได้ เมื่อความรู้สึกต่าง ๆ เกิดขึ้น
เมื่อมีทุกข์ ทุกข์นั้นไม่ใช่สิ่งจีรังยั่งยืน ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะนำความทุกข์นั้นมาเป็นกังวล
เมื่อมีสุข สุข นั้นก็ไม่จีรังยั่งยืนเช่นกัน เราไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยง เป็นอนิจจัง

ข้อความข้างต้น ต้องขออภัยที่ตอนเก็บมาไม่ได้บันทึกว่าเอามาจากที่ใด แต่อ่านแล้วคิดว่ามีประโยชน์ต่อทั่วไป จึงนำมาบันทึกไว้ในนี้อีกครั้ง

ดังนั้นหากใครตระหนักรู้ คิด และสามารถนำไปเป็นส่วนหนึ่งที่ใช้ประคองจิตได้ ชีวิตจะอยู่เหนือทุกข์ จริงๆ  ทุกสิ่งเข้ามาแล้วผ่านไป แต่สิ่งสำคัญที่อยากให้คิดคือ เราต้องไม่ไช่ผู้เบียดเบียน ไม่ไช่ผู้ทำผิดเสียเอง  สุขหรือทุกข์ที่ได้จากการกระทำที่ไม่ถูกต้อง นอกจากไม่จีรังแล้ว การกระทำผิดนั้นมันจะฝังเตือนอยู่ในสำนึกตลอดเวลา สุขไม่จริง แต่ทุกข์น่ะจริง และยังต่อกรรมไม่รู้จบอีกด้วย 

 ดังนั้นเริ่มต้นทำในสิ่งที่ดี ที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม  ชีวิตจะประสบพบแต่สิ่งที่ดีจริงๆค่ะ
ลองดูนะคะ :)

Monday, 20 June 2011

เสียดายโอกาส

เสียดายโอกาส


ได้โอกาสเกิดเป็นมนุษย์นั้น โชคดีแท้ 
แต่ไม่รู้จักปล่อยวาง ไม่รู้จักพอ เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ว่าจะเชื่อเรื่องบุญ-บาปหรือไม่
แต่สิ่งที่ทำไปนั้น ล้วนก่อเกิดทุกข์ทั้งสิ้น เท่ากับตัดเส้นทางบุญคือความดีไปแล้ว
น่าเสียดายโอกาสนั้นจริงๆ
meepole




ดังคำกล่าวของท่านพุทธทาส ที่ว่าไว้ดังนี้
I’m happily at peace because I don’t want anything
สุขสันต์เพราะฉันไม่ได้เอาอะไรมา

At birth, I didn’t bring anything, so no suffering.
But once born, I learnt how to take all kinds of things and thus have suffered.
เกิดไม่ได้เอาอะไรมาเลยไม่ทุกข์ แต่เกิดมาแล้วจึงรู้จักเอาอะไร แล้วก็เป็นทุกข์

หากเรารู้อย่างนี้แล้ว และอยากลดทุกข์ให้น้อยลง ก็ลดการยึดติด ความเป็นของฉัน ความกังวล ให้น้อยลง วางที่แบกไว้ ยึดติดไว้ ได้หมดเมื่อใด ก็สบายเมื่อนั้น

The next world can wait




Just do good.
whether there is a next world or not, the result will be good.

เรื่องโลกหน้ารอไว้ก่อน
ทำดีลูกเดียว โลกหน้า มีหรือไม่มี ดีทั้งนั้น

by Buddhadasa Bhikkhu

Saturday, 18 June 2011

When Opinions Conflict


 by Buddhadasa Bhikkhu




Between oneself and others, or even among ones own opinions, there are always two sides.

The best approach is to choose the way that is or must be truly beneficial for all.There's no need for anyone to be wrong or right, loser or winner.

If we insist on talking in terms of who is right, there won't be even a smidgen of Buddhist left, because of the power of    " me " & "mine".



Friday, 17 June 2011

ความฉลาดที่เป็นพิษ

ถ่ายโดย meepole จากโรงแรมรามาการ์เดนท์

ไม่มีใครอยากโง่ ไม่มีใครชอบการถูกเบียดเบียน แต่บางครั้งคนที่ถูกเบียดเบียน รังแก เอาเปรียบ แต่เขายังอยู่นิ่งเฉย ไม่ไช่เพราะเขาโง่ หรือไม่มีทางสู้ แต่บางครั้งเขาไม่อยากเอาเรื่อง ไม่อยากเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ ไม่อยากต้องทำตัวเช่นนั้นเพื่อตอบโต้ ...แต่สังคมยุคใหม่ คนรุ่นปัจจุบัน ชอบคำว่า ตาต่อตา ฟันต่อฟัน มากกว่าและคิดว่าฉลาดแล้วที่เอาเปรียบเขาได้ หากไม่ตอบโต้ก็ถูกหาว่าไม่มีทางสู้ซะอีก การให้อภัย จึงเป็นเรื่องโบราณ เรื่องเลยไม่จบ

สำหรับ meepole ชอบคิดว่า อย่าไปโต้ตอบเลย กรรมเป็นของคนทำ เขาได้รับตั้งแต่เขาทำแล้ว แต่หลายครั้งที่คนรอบตัวที่สนิทกัน มักจะไม่ยอมและไม่เห็นด้วย ก็บอกว่าให้ตอบไปบ้างไม่งั้นเดี๋ยวเขาจะว่าโง่ ให้เขาทำข้างเดียวอยู่ได้  มารไม่มี บารมีไม่เกิดจริงๆ หุ หุ

ท่านพุทธทาสได้เขียนเรื่อง ความฉลาดที่เป็นพิษ  (Poisonous Intelligence) ไว้อย่างน่าสนใจ ขอยกมาบางส่วนดังนี้

Intelligence without mental control    ความฉลาดที่ปราศจากการบังคับจิต


Intelligence without moral restraint    ความฉลาดที่ปราศจากศีลธรรมควบคุม


Intelligence without kindness    ความฉลาดที่ปราศจากเมตตา


Intelligence under the power of defilement is worse than stupid    
ความฉลาดที่อยู่ใต้อำนาจกิเลส ยิ่งกว่าโง่

เหล่านี้ล้วนเป็น  ความฉลาดที่เป็นพิษ !!

Thursday, 16 June 2011

ทำงานด้วยจิตว่าง

ส่วนหนึ่งที่ได้จากการฝึกอบรมพระนักเทศน์ทั่วภาคใต้ (2)
ทำงานด้วยจิตว่าง



 งานอบรมการจัดอบรมพระนักเทศน์ทั่วภาคใต้ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยเจ้าคณะภาค 16 เป็นประธานการจัดงาน ก็เสร็จสิ้นผ่านไปอีกครั้ง ในงานครั้งนี้ก็มีทั้งฆราวาสและบรรพชิตมาช่วยงานกันมาก โดยเฉพาะภัตตาหารทุกมื้อ ปานะ เพียบพร้อม ต้องบอกว่าเหลือเฟือ เห็นแล้วปลื้มใจแทนเจ้าคณะภาค 16 และคณะทำงาน งานสำเร็จลุล่วงด้วยดี จะมีพระนักเทศน์ฝีปากกล้าคารมธรรมคมคายเพิ่มประดับวงการสงฆ์อีกหลายสิบรูป บางรูปก็คงกลับไปฝึกฝนต่อเพิ่มขึ้น ปีหน้าก็จะมีการจัดอบรมเช่นนี้อีก (เป็นครั้งที่ 5)

 ในวันที่สามของการจัดอบรม พระราชปฏิภาณมุนี (ท่านเจ้าคุณบุญมา) วัดประยูรวงศาวาส ได้มาบรรยายถวายความรู้แด่พระสงฆ์ ตอนหนึ่งที่ท่านพูดถึงคือ คำกล่าวของท่านพุทธทาสภิกขุ ที่สอนให้เรา ทำงานด้วยจิตว่าง คนส่วนใหญ่เคยได้ยินคำกล่าวนี้มาแล้ว บางคนได้ยินแล้วได้คิด บางคนอาจแค่ได้ยินแล้วผ่าน บางคนได้ยินแต่ไม่เข้าใจ บางคนเข้าใจแล้วปฏิบัติตาม แล้วคุณอยู่ในประเภทไหนเอ่ย ?? 


เผื่อใครที่ยังอาจสับสนอยู่ว่าจะทำงานด้วยจิตว่าง ทำได้อย่างไร? เป็นไปได้หรือ? ถ้าเราเข้าใจให้ถูกต้องก็ทำได้ไม่ยากเลย


อยู่ที่ว่า  ทำงานด้วยจิตว่างนั้น  จิตว่างจากอะไร ตรงนี้คือ การว่างจากการยึดติด ว่างจากการหวังเกียรติยศ หน้าตา ตำแหน่ง หรือผลประโยชน์อื่นใดที่นอกจากผลของงานนั้น

ดังนั้นถ้าเราทำงานเพื่อผลของงาน เพื่อความสำเร็จของงาน เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม องค์กร หน่วยงาน ไม่คิดถึงผลประโยชน์ส่วนตน ก็เป็นการทำงานด้วยจิตว่าง  ทำแล้วต้องบอกว่าเกิดสุขทุกสถาน ผลของงานที่ได้เกิดประโยชน์ เป็นการฝึกจิต ขัดเกลาตัวเอง จิตผู้ทำจะรู้สึกเป็นสุข เกิดปิติขึ้นเอง   นี่เป็นผลที่ได้จากการทำงานด้วยจิตว่างอย่างแท้จริง ลองทำดูนะคะ

Wednesday, 15 June 2011

กราฟชีวิต

กราฟชีวิต





หลายคนเปรียบชีวิตเหมือนเส้นกราฟที่มีขึ้นลง ตามเหตุและปัจจัยที่เข้ามา ซึ่งจริงๆแล้วหากเราไม่ประคองใจให้ดี ใจเราเราก็คงจะแกว่งขึ้นแกว่งลง เช่นนั้นบ่อยๆ ก็จะส่งผลต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตเราด้วย เพราะออร์โมนและการหลั่งสารบางชนิดเกี่ยวข้องกับความเครียด เครียดมากๆ ต่อเนื่องนานๆ หรือเครียดต่อเนื่องแบบไม่รู้ตัว (พวกชีวิตไม่ยิ้ม :)

 การศึกษาธรรมะ ไม่ว่าจะโดยการอ่านหรือปฏิบัติ ให้เข้าใจ จนเป็นส่วนหนึ่งในจิตสำนึกลึกๆของเรา เมื่อมีเหตุอะไรมากระทบเราสามารถนำธรรมะเหล่านั้นมาเป็นเกราะช่วยให้คิดเป็น เข้าใจสิ่งที่เกิด มีสติกับทุกๆปัญหาที่เข้ามาโดยไม่ทุกข์ อยู่เย็นได้ ไม่เครียด

การคิดดีๆ คิดบวกแบบที่นิยมกัน เช่น เราทำได้  เรามีความสุข  ทุกคนรักเรา  และอื่นๆ ก็เป็นจิตวิทยาที่ดี ใช้ได้ผลในระดับหนึ่ง แต่เมื่อเผชิญปัญหาในหลายๆรูปแบบ บางครั้งก็หลุด เพราะเป็นเพียงจิตวิทยาที่ใช้ปลอบใจตัวเอง แต่มันไม่ได้เข้าไปในส่วนลึกๆ เพราะจริงๆแล้วลึกๆเราอาจรู้ว่าเป็นการหลอกตัวเอง (ในบางกรณี)  

แต่การใช้ธรรมะประคองจิต ศึกษาเข้าใจในพระธรรมคำสอน จะสามารถใช้ได้กับทุกสถานการณ์ และหากรู้จักนำมาใช้แล้ว ชีวิตไม่ว่าเผชิญกับปัญหาอะไร ก็สามารถเผชิญ และผ่านได้อย่างมีสติ เย็นและสงบจริงๆ และที่สำคัญคือหากเราต้องเผชิญปัญหาใดๆอีกใจเราจะไม่แก่วงขี้นลงเหมือนเส้นกราฟ แต่จะเผชิญทุกอย่างด้วยจิตที่นิ่ง ไม่เศร้า ไม่ทุกข์ ไม่เครียด และก็แก้ปัญหาเหล่านั้นได้ด้วยสติ ปัญญา ลองดูนะคะ

ที่มาภาพ: tabitusa.blogspot.com

Saturday, 11 June 2011

ส่วนหนึ่งที่ได้จากการฝึกอบรมพระนักเทศน์ทั่วภาคใต้ (1)

ส่วนหนึ่งที่ได้จาก
การฝึกอบรมพระนักเทศน์ทั่วภาคใต้
(1-15 มิถุนายน)


 การจัดอบรมพระนักเทศน์ทั่วภาคใต้และประเทศมาเลเซีย ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมีเจ้าคณะภาค 16 เป็นประธานการจัดงาน ได้เชิญวิทยากรที่มีความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ทั้งพระและฆราวาส ในส่วนที่พระท่านบรรยายจะมีเนื้อหาในภาคปฎิบัติเป็นส่วนใหญ่ แต่มีในส่วนที่เป็นข้อธรรมเช่นกัน ซึ่งจะทะยอยนำมาเขียนเป็นประสบการณ์ที่ดีแบ่งกันกัน และเมื่อวาน (9 มิย.) พ.อ.นพ. พงศ์ศักดิ์ ตั้งคณา มาบรรยายถวายความรู้ทั้งวัน ได้สาระมากมาย จึงขอนำมาแบ่งปันในโอกาสนี้ด้วย

meepole เคยเป็นทั้งผู้บรรยายเอง และผู้ฟังบรรยาย ผ่านมาหมดทั้งในประเทศและต่างประเทศ จึงเห็นพฤติกรรมทุกรูปแบบในการฟังบรรยาย มีทั้งที่ตั้งใจฟัง ไม่ตั้งใจฟัง แต่เงียบๆ (ไม่รู้ใครบังคับให้ไป) ไม่ตั้งใจฟัง และวุ่นวายเดินเข้าเดินออก  ไม่ตั้งใจฟัง แล้วยังพูดแข่งกับวิทยากรอีก และร้ายที่สุดที่เคยเห็นคือลงทะเบียนอบรมแล้วหายไปเที่ยว ชอบปิ้งตลอด นี่เป็นอะไรแบบ ตามใจตัวเอง คือไทยแท้ เป็นเหตุให้อะไรๆที่จะพยายามพัฒนากันก็เลยไม่เคยไปถึงจุดนั้น น่าเศร้าจริงๆ งานนี้ก็เช่นกัน จึงสามารถตักตวงสิ่งต่างๆไปได้มาก-น้อย ไม่เท่ากัน ก็แล้วแต่บุคคล แต่ที่แน่คือตัว meepole ได้

จะขอยกตัวอย่างมาพอให้เป็นข้อคิด


มนุษย์เราเกิดมาพร้อมหลายสิ่งหลายอย่างที่พร้อมครบอย่างพอดีแล้ว ขึ้นกับว่าคนๆนั้นบริหารชีวิตให้พอดีได้แค่ใหน
พอดีแค่ใหน รู้สึกเมื่อใด สบายเมื่อนั้น


เวลาเราไปตัดเสื้อ เราวัดตัวใคร.......(ตัวเรา)

แล้วเวลาใช้ชีวิต ทำไมต้องตามคนอื่น (กลัวเขาว่าอย่างโน้น นี้)



คุณจะเลือกเป็นแบบใหน ระหว่าง ต้นใหญ่ใบเล็ก กับต้นเล็กใบใหญ่

ต้นใหญ่ใบเล็ก เปรียบเช่นคนที่มีตำแหน่งใหญ่โตแต่ไม่เป็นที่พึ่งแก่ใครเลย
ต้นเล็กใบใหญ่ เปรียบเช่นคนที่ไม่มีตำแหน่งอะไร แต่เป็นที่พึ่งแก่คนทั้งหลายได้


ฉลาดลึก วินาศลึก
ฉลาดมาก  วินาศมาก
ถ้าไม่มีคุณธรรม กำกับความฉลาด โลกสังคมจะวุ่นวาย

ขอให้เป็นคนดีก่อน เก่งไม่เก่งไม่สำคัญ ถ้าเก่งอย่างเดียว แต่ไม่ดีก็วินาศ



ถ้าเด็กรักพ่อรักแม่ จะไม่ทำชั่วทุกชนิด

(อันนี้เอาไว้เป็นอุทธาหรณ์ เวลาบ่นว่าลูกหลานเกเร ต้องดูตัวเองด้วยว่าเราเลี้ยงเขามาด้วยความเอาใจใส่เพียงใด สั่งสอนรัก ให้เวลาดูแลเขาแค่ใหน)



จงดูตัวอย่างดังเช่นใบบัวที่ไม่ยอมให้น้ำยึดติด ไม่ว่าน้ำนั้นจะบริสุทธิ์แค่ใหน การดำเนินชีวิตก็เช่นกันหากเราไม่ติดยึดและไม่ยึดติดอะไรมากนัก ชีวิตจะเป็นอิสระออกจากสิ่งทั้งปวง (อันนี้ meeple ขยายความเอง)



ในการเชื่อเรื่องอะไร หรือดูว่าอะไรควรเชื่อ หรือไม่ควร ให้เชื่อการพิจาณาของตนเองว่า คำสอนเหล่านั้นเมื่อประพฤติกระทำตามไปแล้ว จะมีผลเกิดอย่างไร .......
ถ้ามีผลเกิดขึ้นจากการกระทำของตนเอง และทำให้ผู้อื่นเป็นทุกข์เดือดร้อน ก็ไม่ควรปฎิบัติตาม 
 ถ้าไม่ทำให้ตัวเองและผู้อื่นเดือดร้อน แต่เป็นไปเพื่อความสุข ความเจริญ ย่อมเป็นคำสอนที่ควรทำตาม




Monday, 6 June 2011

ความกลัว.. ที่น่ากลัวยิ่งกว่า


เมื่อวานยังอยู่ในช่วงการอบรมของพระนักเทศน์ ได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับทั้งพระและฆราวาสหลากหลายชีวิต และหลากเรื่อง และเรื่องหนึ่งที่โดนใจหลายๆคนกลายเป็น big issue ของการคุยทันที นั่นคือมี ดอกเตอร์ท่านหนึ่งได้กล่าวว่า สิ่งที่ท่านกลัวมากที่สุดคือ กลัวว่าจะไม่มีความถูกต้อง และยุติธรรมเหลืออยู่ ทำให้คนดีที่ดีจริงๆ (ซึ่งเหลือไม่มากในสังคม) ต้องกลายเป็นคนไม่ดี เพราะถูกใส่ร้าย รังแก แล้วสังคมนี้จะไม่เหลือแบบอย่างคนดีจริงๆเลยหรืออย่างไร เป็นเรื่องน่าเศร้า ทุกคนในวงสนทนาสนใจเพราะเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในสังคม จึงขอให้เล่าเรื่องว่าทำไม่คิดเช่นนั้น

ดอกเตอร์ท่านจึงเล่าเรื่องเพียงย่อๆเพราะเวลาไม่มาก ดังนั้นmeepole จึงเอาเรื่องมาเขียนเตือนให้คิด และระวัง เป็นเรื่องภัยจากตำรวจครอบครัวหนึ่ง (ทั้งครอบครัวจริงๆ) กระทำกับครอบครัวที่มีผู้เฒ่า คนชรา ที่มีลูกหลานน้อยแต่มีทรัพย์มาก เมื่อพบเหยื่อแล้วตำรวจคนนี้ได้พาทั้งลูกเมียมาไกล้ชิด เอาใจ (คงตามหลักจิตวิทยา) จนรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับทรัพย์สินว่ามีอะไรตรงใหน เท่าไหร่ ตลอดจนทำตัวให้สังคมเห็นว่าเขาเป็นที่รักไว้ใจ เหมือนลูกหลาน การวางแผนทุกอย่างจึงค่อยเป็นค่อยไป ชนิดที่ดอกเตอร์ท่านนี้บอกว่า จะเขียนเรื่องนี้ให้เป็นนิยายเรื่องสั้นออกมาในอนาคต เพราะมีการวางแผนชนิดที่เอาไปทำเป็นภาพยนต์ได้เลย (meepole บอกว่าจะรออ่าน) ตำรวจนายนี้เป็นตำรวจแผนกสอบสวนในจังหวัดภาคกลาง ซึ่งคงใช้ตำแหน่งหน้าที่ในการเข้าไปเอาข้อมูลต่างๆออกมา แม้กระทั่งเขียนกรอกในใบขอข้อมูลหลอกจนท.ว่าเป็นบุตรบ้าง เป็นบุตรบุญธรรมบ้าง ญาติบ้าง

ดอกเตอร์ท่านนี้ได้ต่อสู้เพื่อความยุติธรรมตลอดมา 3 ปี และรู้ทุกอย่างที่ตำรวจและภรรยาเขาทำ จ้างใครทำอะไร เปลี่ยนแปลงเอกสารอะไร แต่ดอกเตอร์ท่านนี้บอกว่าเธอเชื่อในสัจธรรม และความยุติธรรม และ ดังนั้นเธอรอเวลาการดำเนินคดีมา 3 ปีเศษ และทุกอย่างจบลง เธอเป็นฝ่ายชนะความ แต่ตำรวจนายนี้ไม่หยุด ระรานไปทั่ว ฟ้องพยาบาลผู้ทำงานตามหน้าที่ ฟ้องจนท.ธนาคารแห่งหนึ่ง ฟ้องผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคน ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ดึงมาผูกเรื่องเกี่ยวโยงไปหมด โดยเฉพาะพยาบาลถูกตั้งกรรมการสอบสวน ทราบว่าพยาบาลทั้งสองเครียด และร้องให้ เพราะเป็นผู้ไม่เกี่ยวข้องแต่รับผู้ป่วยตามระเบียบ (มารดาดอกเตอร์นี้) ฯ ขอข้ามก่อนเพราะรายละเอียดยาว เอาเป็นว่าใช้เครื่องแบบตำรวจทำทุกอย่าง ใครเดือดร้อนไม่สนใจ ล่าสุดหลังจากที่แพ้คดี นายตำรวจยศ พตท. คนนี้ ได้ให้ภรรยาส่งทั้งจดหมายใช้วาจา ..(คงจินตนาการทีวีน้ำเน่าได้) ไปยังหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องกับดอกเตอร์ท่านนี้ เพื่อประจาน แต่เธอบอกว่าเธอไม่เคยไปแก้ตัวอะไร เพราะ "อะไรที่จริงก็คงเป็นจริง อะไรเท็จก็คงเป็นเท็จ ไม่มีใครเปลี่ยนได้ แต่ใครจะเชื่อเรื่องเท็จว่าเป็นจริงเราก็ห้ามไม่ได้ เราไม่ชั่วเช่นนั้นเป็นพอ" ดอกเตอร์ท่านนี้บอกว่าเธอเชื่อกฎแห่งกรรม เธออาจทำกรรมกับเขาชาติก่อน หรือไม่ก็เขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรของแม่ มาตามระราน แต่หากไม่ไช่แต่เป็นเขาก่อกรรมใหม่ขึ้น กรรมก็คงตกแก่เขาและครอบครัวสักวันหนึ่ง ไม่ต้องไปฟ้องอะไรเขากลับ และลูกสาวตำรวจนายนี้ยังเรียนที่ธรรมศาสตร์อยู่ แม้ว่าจะอย่างไรก็ไม่อยากให้ลูกนายตำรวจนี้ต้องอายเพื่อนหากจะรู้ความจริงว่าพ่อแม่เลี้ยงเธอและน้องชายมาด้วยวิธีหารายได้แบบใดซึ่งควรเป็นเรื่องน่าอับอาย?

ความคิดเมตตาเช่นนี้กลับมาทำร้ายเธอต่อ เพราะภรรยาและตำรวจคนนี้ ได้แจ้งความที่สถานีตำรวจให้ออกหมายเรียกผู้ต้องหา โดยชื่อผู้ต้องหาคือ ดอกเตอร์ท่านนี้ เธอได้รับหมายเรียกของสถานีตำรวจแห่งหนึ่ง แจ้งข้อหาเบิกความเท็จต่อศาล ดอกเตอร์ท่านนี้งงมาก แทนที่ดอกเตอร์ท่านนี้จะเป็นฝ่ายแจ้งความ กลับกลายเป็นฝ่ายที่ใช้ข้อมูลเท็จเป็นฝ่ายแจ้งความ และการแจ้งนี้ไม่ไช่ครั้งแรกหลังจากชนะคดี เพราะภรรยาตำรวจนี้ได้เคยให้ตำรวจแจ้งทำเป็นบันทึกส่งไปยังสถาบันที่สอนอยู่โดยตั้งหัวข้อว่า เรื่องข้าราชการต้องคดี และให้สถาบันเป็นผู้แจ้งให้ไปพบที่สถานีตำรวจ แต่เธอไม่ไปเพราะจดหมายฉบับนั้นเป็นเพียงต้องการประจานเธอเท่านั้นเธอจึงไม่สนใจ แต่ครั้งนี้ส่งหมายเรียกแบบที่เขียนว่าหากไม่ไป สามารถออกหมายจับได้ ดอกเตอร์ท่านนี้เล่าไปสลับกับเสียงถามจากผู้ฟังเป็นระยะๆ และทุกคน (ยืนยันว่าทุกคนจริงๆ) บอกให้เธอหยุดเมตตา ให้สู้ คนหนึ่งพูดว่าเล่นกับคนบ้_ ต้องรุกไม่งั้นไม่หยุด ต้องโต้บ้าง ตอนนี้อยู่ระหว่างการตัดสินใจว่าเธอจะจัดการอย่างไร แต่ประโยคหนึ่งที่เธอพูดทำให้เศร้าใจคือ เธอไม่แน่ใจว่าตำรวจดีจริงๆยังมีหรือไม่ และเธอกลัวว่าความยุติธรรมจะไม่มี หากไม่มีสิ่งนี้แล้วคนดีจะดำรงความดี โดยไม่ถูกรังแกได้อย่างไร

meepole อยากให้โลกนี้ สังคมนี้ช่วยกันรักษาคนดีๆด้วยเถิด ช่วยกันทำลายคนเลว เพื่อลูกหลานของเรา และเป็นกุศุลที่ใหญ่ที่เราจะช่วยกันให้คนดี มีกำลังใจต่อสู้เพื่อความถูกต้อง

Friday, 3 June 2011

การจัดอบรมพระนักเทศน์ทั่วภาคใต้


ครึ่งเดือนต่อไปนี้นับจาก 1-15 มิถุนายน จะมีเวลาสำหรับการเขียนตรงนี้น้อยลง เพราะมีการจัดอบรมพระนักเทศน์ทั่วภาคใต้จนถึงประเทศมาเลเซีย ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยพระเทพสุธี (พงศ์สรร อสิญาโน) เจ้าคณะภาค 16  เป็นประธานการจัดงาน เตรียมทั้งสถานที่ และวิทยากร ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เช่น พระธรรมกิตติวงศ์ ราชบัณฑิต วัดราชโอรสาราม  พระราชปฏิภาณมุนี (ท่านเจ้าคุณบุญมา) วัดประยูรวงศาวาส รศ.บรรจบ บรรณรุจิ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.อ.นพ. พงศ์ศักดิ์ ตั้งคณานุรักษ์ พระครูปริยัติคุณาศัย และคณะ เป็นต้น มีทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติอย่างเข้มข้น ตั้งแต่ 7.00น - 21.00 น. (ภาคค่ำ มีทั้งภาคปฏิบัติฝึกการเทศน์ และฝึกกรรมฐานด้วย) และ meepole เป็นทั้งวิทยากรบรรยาย( ถวายความรู้ด้านสุขภาพ เพื่อให้ท่านแข็งแรง มีคุณภาพชีวิตที่ดี จะได้สืบต่ออายุพระพุทธศาสนาไปนานๆ) และกรรมการฝ่ายประเมินผล เลยต้องไปนั่งฟัง ติดตามตลอดการประชุม

เมื่อวานเป็นวันแรกของการบรรยาย โดยพระธรรมกิตติวงศ์ ราชบัณฑิต ได้อะไรมามากมายค่อยทะยอยลงบันทึกทั้งข้อเขียนและภาพ ไว้เป็นประสบการณ์ที่ดี มีคุณค่า โดยทั่วกัน