Saturday, 1 October 2011

ชีวิต..จะรีบไปไหน??

ชีวิต..จะรีบไปไหน??


ทุกคนคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า "เวลาเป็นเงินเป็นทอง ( Time is Money ) " และบางคนเชื่อแบบตรงไปตรงมา เข้าใจไปว่าทุกๆเวลานาทีมีค่าอย่าเสียเวลาต้องเร่งหาเงินทอง ก็เลยทำงานๆๆๆๆ กันหามรุ่งหามค่ำ ไม่มีเสาร์อาทิตย์  ไม่มีวันหยุดพิเศษ และในแต่ละวันที่ทำงานก็ต้องทำงานอย่างรีบเร่ง ต้องการผลงานมากๆ เพื่อความสำเร็จของงานหรือความสำเร็จของตนเอง ก็ตามแต่ ทำจนไม่มีเวลาพักผ่อน ทั้งๆที่วลีนี้เพื่อให้คนรู้จักค่าของเวลาและพยายามใช้เวลาให้คุ้มค่าหรือให้เป็นประโยชน์ แต่บางคนหลงประเด็น เห็น เงิน สำคัญกว่า ชีวิต ตั้งหน้าตั้งตาหาเงินทอง โดยไม่คำนึงถึงชีวิตของตนและครอบครัว และธรรมชาติที่สวยงามรอบตัว อย่าลืมว่ามีเงินมากเท่าไรก็ซื้อความสุขทางใจที่แท้ไม่ได้ การมีเวลาให้ใจได้อยู่นิ่ง ๆ และผ่อนคลาย เช่น ทำสวน เดินเล่น  ไปวัด ชมศิลปะ นั่งสมาธิ แม้กระทั่งการช่วยกิจกรรมสังคม ฯ เป็นการทำให้เวลามีค่ายิ่งกว่าเงินทองเสียอีก

การรีบเร่งบางอย่างก็ดี แต่หลายๆอย่างการเร่งรีบของชีวิตจนลืมหยุดพักมองระหว่างทาง ลืมหาความสุข ก็ลองถามตัวเองว่า รีบแล้วได้อะไร ? จำเป็นไหมที่ต้องรีบเร่งรีบหา รีบทำทุกอย่างจนสืมมองสิ่งสวยงาม สิ่งดีๆมากมายที่ควรเก็บเกี่ยวได้ในระหว่างทางนั้น เพราะกว่าจะรู้ตัว ส่วนมากก็สายไปแล้ว หมดแรงพ้นวัย สังขารไม่อำนวยที่จะได้ทำในสิ่งที่เป็นความสุข มัวแต่คิดว่าจะทำงานๆๆๆก่อน แล้วค่อยไปหาความสุขช่วงบั้นปลาย แท้จริงแล้วชีวิตควรต้องทำงานไปพักผ่อนไป เหมือนการกินต้องกินไปพักไป ไม่ใช่กินๆๆอมสะสมไว้เป็น เดือนแล้วค่อยกินๆๆๆอีก อย่างนั้นสุขภาพก็แย่ เป็นไปไม่ได้ ชีวิตเราก็เช่นกัน จะทำงานอย่างเดียว ทุกลมหายใจเข้าออก ตอนกินอาหาร ตอนก่อนนอน มีแต่แผนงาน มีปัญหางาน ที่อยู่ในความคิดตลอดเวลา ชีวิตก็เครียด สมองและจิตใจไม่ผ่อนคลาย จนกระทั่งเจ็บป่วย ถึงตอนนั้นก็ย้อนเวลาไม่ได้แล้ว

บางอย่างในชีวิตควรค่อยเป็นค่อยไป เหมือนสุภาษิตที่ว่า "ช้าๆได้พร้าเล่มงาม" แต่ก็ไม่ไช่ช้าแบบอืดอาด เกียจคร้าน ดังนั้นก็คงต้องใช้ปัญญาคิดพิจารณาว่าเมื่อไหร่ควรช้า เมื่อไหร่ควรเร่งรีบและแบ่งเวลาพักสำหรับชีวิต ที่สำคัญคืออย่าลืมว่าเราทุกคนมีเวลาเท่ากันคนละ 24 ชั่วโมงต่อวันเราจะใช้มันอย่างไร และ เราเป็นคน ไม่ไช่หุ่นยนต์

เราจะมีชีวิตอยู่ที่ไหนไม่สำคัญ สำคัญที่ว่า....เรามีชีวิตอยู่อย่างไรเท่านั้น
และ เราเป็นอะไรก็ไม่สำคัญ สำคัญแต่ว่าเราได้ชื่นชมโลกและชีวิตหรือเปล่าเท่านั้น