Saturday 3 September 2011

คิดถึงคำครูสอน

คิดถึงคำครูสอน



วันนี้ไปอ่านเจอข้อความข้างล่างนี้ที่มีคนเขียนในการตั้งข้อสังเกตพฤติกรรมของผู้จัดรายการท่านหนึ่งว่าเปลี่ยนไป
"...ในยามที่พายุโหมกระหน่ำรุนแรงไม้ใหญ่ย่อมหักโค่นเพราะแข็งขืน แต่ต้นหญ้ายอมเอนลู่ตามลม  ไม่มีวันหักโค่นและคงจะมีโอกาสที่จะฟื้นตัวหลังจากพายุผ่านพ้นไป"
(http://www.oknation.net/blog/doilor/2011/09/01/entry-1)

อ่านแล้วก็นึกไปถึงหลายๆเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เลยนั่งคิดย้อนดูตัวเอง แล้วทำให้คิดถึงคำสอนของ ครู สองคนที่ meepole จำได้ตลอดมาแม้ว่าจะผ่านไปหลายสิบปี...........

ตอนจบปริญญาตรีเข้าทำงานใหม่ๆ เคยถูกผอ.อาวุโส (เพื่อนแม่) ของสถาบันแห่งหนึ่งและสอน meepole ด้วย เรียกตัวไปพบ จำไม่ได้ว่าเพราะเหตุอันใด ท่านได้แนะนำหรือสอนว่า ให้หัดทำตัวเหมือนน้ำที่กลิ้งบนใบบอน แล้วจะทำงานได้สะดวก อย่าทำตัวให้มีมุม มันจะติดไปหมด  จำได้ว่าด้วยวัยวุฒิที่เพิ่งจบการศึกษา และมีความตรงไปตรงมาเลยโต้ตอบไปทันทีว่า หนูคงทำตัวแบบนั้นไม่ได้ เพราะที่บ้านสอนให้ทำอะไรตรงไปตรงมา คงกลิ้งไปกลิ้งมาแบบนั้นไม่ได้  อันนี้จึงยังไม่เคยปฏิบัติตาม

คำสอนของผอ.ท่านนี้อาจไม่ผิด แต่รู้ว่าหากทำแล้วทุกข์ ฝืนตัวตนก็ไม่ทำ อันนี้ meepole ก็ต้องยอมรับว่าการที่ไม่เคยยอมก้มให้กับผู้บริหารที่ทำในสิ่งไม่ถูกต้องและตัวเองก็ยืนหยัดในการทำสิ่งที่ถูกศีลธรรมเสมอมา แม้ไม่เจริญในราชการมากนักแต่ไม่ตกต่ำ และเป็นสุขใจ ไม่มีใครสามารถมาทำให้เราถอยหลังได้ ไม่มีใครกล้ามาวุ่นวาย และเป็นที่เคารพ เป็นที่ปรึกษาเป็นตัวอย่างของหลายๆคนที่ต้องการกำลังใจที่จะยืนหยัดต่อสู้กับสิ่งไม่ถูกต้องในที่ทำงานมาทุกยุคและยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป

อาจารย์อีกท่านเป็นทั้ง advisor และเป็นอาจารย์สอนตอนปริญญาตรีเป็นคนที่ meepole ระลึกถึงพระคุณท่านเสมอมาจนปัจจุบัน (ขออนุญาตเอ่ยนามคือ อ.ชลอ วิเศษเสนีย์)  เมื่อ meepole กลับไปเรียนปริญญาโท ก็ยังคงแวะไปเยี่ยมคุยอาจารย์เป็นประจำ ท่านสนิทกับ meepole มาก ท่านสอนว่า  ยิ่งเรียนสูงขึ้นมีความรู้มากขึ้น อย่าทำตัวเหมือนไม้ไผ่ที่แข็งตรงจะหักโค่นเมื่อโดนพายุใ ห้ทำตัวเหมือนต้นข้าวที่ยิ่งออกรวงมาก เสมือนมีความรู้มาก ยิ่งเอนลู่โน้มลง  ในความหมายของท่านคือสอนให้เป็นคนอ่อนน้อม ไม่แข็งกระด้าง หรือหยิ่งผยองเมื่อมีความรู้สูงขึ้น
 meepole น้อมรับคำสอนนี้และปฎิบัติตามที่อ.ชลอท่านสอนตลอดมา มีความระมัดระวังที่จะไม่ยกตนข่มใครเป็นอันขาด และที่ประพฤติปฏิบัติมาโดยตลอดคือการไม่มีตัวตน (ทำโดยไม่ต้องไม่มีใครรู้จักตัว หากรู้เห็นตัวว่ากำลังทำ ก็ไม่รู้จักชื่อหรือว่าเป็นใคร หากรู้จักชื่อก็ไม่รู้ว่าคนไหน) เป็น อยู่ให้ธรรมดาเหมือนตอนเกิดมา ไม่ต้องปรุงแต่ง แบกยกอะไรให้มากนัก ชีวิตก็เบาสบาย

หลายครั้งเมื่อเจอเรื่อง เจอคนในสังคมปัจจุบันที่มีแนวคิด หรือมีการกระทำในลักษณะแบบน้ำกลิ้งบนใบบอน ไหลคล่องทุกสถานการณ์   หรือประเภทจิ้งจกเปลี่ยนสี  ดีหรือชั่ว ถูกหรือผิด ไม่มีแยกแยะ เพราะมีคำรองรับการกระทำนั้นมากมายเช่น  "เขาคงมีความจำเป็น...เลยต้องทำ"  "ก็ต้องตามน้ำไปก่อน ไม่งั้นก็จม"   "ยืดหยุ่นกันหน่อย..."   ฯ สารพัดข้ออธิบาย แล้วเขาก็อยู่ได้ แต่จะอยู่ดีหรือไม่  มีความสุขที่แท้ มีศักดิ์ศรี มีสำนึกละอาย หรือไม่ ไม่มีใครรู้ ใจตัวเองเท่านั้นที่รู้ เพราะสุข -ทุกข์อยู่ที่ใจของเขา  แต่หากเราคิดจะทำเช่นเดียวกับเขาแล้วรู้สึกละอายหรือทุกข์ ก็อย่าไปทำ เพราะมโนธรรมในใจคนมีไม่เท่ากัน การอบรมสั่งสอน พื้นฐานทุนของครอบครัวมีไม่เท่ากัน ทำให้เราแตกต่างกัน

ดังนั้นการที่ใครจะทำตัวเป็นอะไร ในสังคมยุคบริโภคนิยมเช่นนี้ จึงมีเหตุผล มีข้ออธิบายได้หมด เขาจะไม่พูดถึงถูกผิด ชั่วดี  เพราะบางคนบอกว่าวัดไม่ได้  แต่ยังไงๆ  meepole ยังคงเชื่อคำที่ว่า สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ อย่างน้อยคนที่คิดดี ทำดี ของแท้ กินได้ นอนหลับ ฝันดี ที่สำคัญไปไหนมาไหนไม่ต้องสะดุ้งเหลียวหน้ามองหลัง เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน ลูกหลานมีสุข อบอุ่นอยู่ในแผ่นดินไทย ภายใต้พระบรมโพธิสมภารของกษัตริย์ทุกพระองค์ที่เสียสละเพื่อแผ่นดินมานับไม่ถ้วน :)