Tuesday, 30 August 2011

คุณความดี..ที่ต้องสืบต่อ

คุณความดี..ที่ต้องสืบต่อ



เมื่อวานอยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต ขณะเดินผ่านคณะนิติศาสตร์ ก็รับรู้ถึงบรรยากาศดีๆ ปลื้มใจในสิ่งดีๆที่อาจารย์หรือใครก็ตามที่เป็นต้นคิดทำในสิ่งนี้ คือให้มีการยกย่อง ระลึกถึงเกียรติคุณ คุณูปการ คุณงามความดีต่างๆที่ท่านเหล่านั้นได้ทำมาทั้งแก่สังคมภายนอก และแก่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

สิ่งที่เห็นคือที่ผนังของเสาหน้าตึกที่มีเนื้อที่เพียงเล็กน้อย ก็มีรูปถ่าย รูปวาด และประวัติย่อๆ ของอาจารย์หลายๆท่านที่ได้เข้ามาเป็นอาจารย์ที่นี่รวมทั้งอาจารย์พิเศษที่เชิญมาสอนด้วย เช่น ท่านไพโรจน์ ชัยนาม ศาสตราจารย์ ดร.จิ๊ด เศรษฐบุตร ศาสตราจารย์ ดร.จิ๊ด เศรษฐบุตร  ศาสตราจารย์ ดร. หยุด แสงอุทัย เป็นต้น แม้ว่าจะเป็นส่วนเล็กๆที่เขียนด้วยกระดาษปะติดไว้  แต่ก็แสดงให่เห็นถึงความรู้สึก ความคิดของอนุชนรุ่นหลังที่รู้จักยกย่อง ผู้ที่สมควรได้รับการยกย่อง และจะเป็นแบบอย่างที่ดีให้เยาวชนรุ่นหลังได้ศึกษาคุณความดีของท่าน และเรียนรู้ว่า หากทำหน้าที่ให้ถูกต้อง ทำคุณงามความดีให้ปรากฏ ก็จะได้รับการเชิดชูยกย่อง แม้ว่าบางท่านจะไม่เด่นดังระดับประเทศ ระดับโลก แต่การได้รับการยกย่องเชิดชูในสถาบันที่ท่านเคยทำงานอยู่ ให้ปรากฏแก่อนุชนรุ่นต่อๆไปนั้น นับเป็นชื่อเสียง ความภาคภูมิใจแก่วงศ์ตระกูลและแก่สถาบันนั้นเองด้วย


ที่กำแพงตึกด้านหน้าก่อนเข้าคณะมีข้อความที่ติดไว้เป็นคำกล่าวของศาสตราจารย์ จิตติ ติงศภัทิย์

การทำงานต้องบริสุทธิ์ ให้บรรลุผลสุดท้ายคือ ความยุติธรรม

อ่านแล้วสะท้อนถึงอะไรๆหลายอย่างในสังคมขณะนี้ และหวังว่าคงยังมีลูกศิษย์ของท่านที่มีปณิธาณที่จะดำเนินชีวิตการทำงาน และมีมโนธรรมเยี่ยงท่านอยู่ ทำงานอุทิศตนเพื่อ รับใช้ชาติด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และมีคุณธรรมอันประเสริฐ เป็นแนวทางแห่งการดำเนินชีวิตที่มีคุณค่าของคนรุ่นหลังต่อไป
ในมหาวิทยาลัยยังมีอนุสาวรีย์รูปหล่อของผู้มีคุณูปการแก่มหาวิทยาลัยและแก่ประเทศชาติอีกหลายท่านเช่น ศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์  อาจารย์ป๋วย อึ้งภากร อาจารย์ปรีดี พยมยงค์ เป็นต้น

และอยากให้ทุกๆสถาบันได้มีการยกย่องบุคคลที่ดี มีคุณธรรม สร้างสรรค์สิ่งดีๆแก่สังคม สมควรแก่การยกย่อง เพื่อชนรุ่นหลังได้เรียนรู้ และถือเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต สังคมไทยเราจะได้มีคนดี ที่ดีจริงๆสืบต่อไป เหมือนดังที่เราเคยพูดกันว่า กรุงศรีอยุธยา ไม่สิ้นคนดี

เรามาช่วยกันยกย่องคนดี และทำความดีเพื่อส่วนรวม เพื่อให้คุ้มค่าที่เกิดมาเป็นคน กันเถอะค่ะ


เพิ่มเติม


ศาสตราจารย์ จิตติ ติงศภัทิย์ เป็นนักกฎหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดท่านหนึ่งในวงการกฎหมายไทยเท่าที่เคยปรากฎมา ท่านได้ชื่อว่าเป็นบรมครูแห่งวงการกฎหมายไทยแนวความคิดทางกฎหมายของท่านยังคงมีอิทธิพลมากต่อวงการศึกษากฎหมายไทย และจริยธรรมอันดีงามของท่านนั้นเป็นแบบอย่างที่ดีให้นักกฎหมายยึดถือปฏิบัติเสมอมาตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน

เมื่อท่านได้ลาออกจากราชการไปรับตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานกฎหมาย ธนาคารแหดงประเทศไทย ท่านให้ข้อคิดว่า

"ในฐานะที่เป็นนักกฎหมาย แม้จะมาทำงานทางด้านบริหาร ก็ต้องถือว่าความเห็นในทางกฎหมายต้องอิสระ นักกฎหมายจะต้องไม่ยอมเป็นเครื่องมือในทางนอกกฎหมายของใครทั้งนั้น "

สำหรับการดำรงตนในวิชาชีพผู้พิพากษา ท่านได้ให้ข้อคิดว่า

"ผู้พิพากษาที่ดีนั้นจะต้องวางตัวอยู่ในกรอบแห่งธรรมเนียมของวิชาชีพ ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ข้อสำคัญก็คือจะต้องไม่ทำตัวให้คนสงสัยว่าเราไม่ได้ให้ความเป็นธรรมแก่เขา"

Friday, 26 August 2011

อดทน


คนเราทนต่อถ้อยคำของคนที่เหนือกว่าได้ ..เพราะกลัว
ทนต่อถ้อยคำของคนที่เท่าเทียมกันได้.. เพราะการแข่งขัน
แต่ว่า..ผู้ใดทนต่อถ้อยคำของคนที่ด้อยกว่าได้
ความอดทนนั้น ท่านกล่าวว่าเป็นสูงสุด

(สรภังคชาดก  ขุ.ชา.  ๒๗/๓๐๓๙)

Thursday, 25 August 2011

ดาบสองคม: กิจกรรมวิทยาศาสตร์กับครู

กิจกรรมวิทยาศาสตร์กับครู (บางคน) ผู้ไล่ล่า


เมื่อวานสอนเสร็จมีเวลาแวะไปคุยกับอาจารย์น้องๆ ตอนหนึ่งก็คุยเรื่องวันวิทยาศาสตร์ว่าไปดู ไปศึกษาอะไรมาบ้าง ก็คุยกันเรื่องโครงงานวิทยาศาสตร์ต่อว่าเห็นความผิดพลาดที่เป็นเรื่องแปลกใจสำหรับอาจารย์รุ่นใหม่ที่เพิ่งเข้ามารับรู้ เช่น วัตถุประสงค์กับเนื้อหาเรื่องที่ทำไม่สอดคล้องกัน ตัวแปรผิด วิธีการศึกษาที่ใช้ผิด (อันนี้ค่อนข้างมาก) สิ่งเหล่านี้ถ้าไม่มาเห็นเองก็จะคิดว่าไม่น่าจะถือสาอะไร เพราะเด็กนักเรียนทำ แต่จริงๆแล้วมันไม่ไช่เช่นนั้นเพราะเด็กทุกกลุ่มจะมีอาจารย์ที่ปรึกษา 1-3 คน และที่เป็นห่วงคือทักษะกระบวนการทำ ที่ไม่ถูกต้อง ส่งผลอย่างมากต่อเจตคติทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่ถูกต้องให้เด็ก เด็กยังคงต้องการการเอาใจใส่ ความรู้ และที่สำคัญยิ่งคือความคิดที่ถูกต้อง ทั้งๆที่กิจกรรมโครงงานวิทยาศาสตร์ เป็นสิ่งที่ดีมากในการจะพัฒนาความคิด ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ให้แก่เด็ก แต่หากสิ่งนี้ได้ถูกนำมาสอนอย่างผิดๆ ทำให้เด็กเรียนรู้สิ่งที่ไม่ถูกต้องตั้งแต่ระดับประถมแล้วกิจกรรมนี้เป็นดาบสองคมที่อันตรายจริงๆ

 meepole ไม่อยากเขียนบันทึกเรื่องนี้มากนักเพราะไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้อย่างไร เพราะตราบใดที่ยังเป็นนโยบายที่ให้ทุกโรงเรียนเรียนวิชาโครงงาน มีการทำโครงงาน อาจารย์พร้อมหรือไม่ไม่คำนึงถึง แต่อาจารย์ก็ต้องการปริมาณงาน ผลงาน สำหรับการประเมิน จากหลายๆด้าน ก็ต้องทำและหลายๆคนก็ไม่ได้คิดคำนึงถึงผลเสียที่ได้ปลูกฝังสิ่งที่ไม่ถูกต้องให้เด็ก ไม่แน่ใจว่าปีนี้จะมีทีมตัวแทนให้มาพูดเสนองานอย่างเดียวโดยไม่ได้เป็นผู้ทำอีกหรือไม่ เพราะเมื่อสามปีที่แล้ว meepole เป็นกรรมการตัดสินโครงงานวิทย์ฯ สอบสัมภาษณ์เด็กจนเด็กสารภาพว่าไม่ได้เป็นกลุ่มที่ทำงานนี้ แต่กลุ่มที่ทำตัวจริงไปเสนองานเดียวกันที่อีกสถาบันหนึ่ง ??  ก็เพิ่งเข้าใจว่าตอนนี้เป้าหลักของการทำโครงงานเน้นกันที่การได้รางวัล การไล่ล่ารางวัลของครู

มีคนเคยบอกให้ฟังเช่นกันว่า การได้รับรางวัลของครูจากผลงาน กิจกรรมต่างๆในวันวิทยาศาสตร์ มีผลต่อประเมินผลงานครูและโรงเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงงานวิทยาศาสตร์ มีรางวัลจูงใจสูงกว่ากิจกรรมอื่นๆและสามารถส่งออกถึงระดับนานาชาติได้ และก็เคยมีการทำสำเร็จมาแล้ว แม้ว่างานบางชิ้นที่ได้รางวัลจะลอกแบบมา สั่งทำ หรือฯ แต่มีกรรมการไม่กี่คนที่จะเอาใจใส่ หรือระมัดระวังเรื่องเหล่านี้ เพราะอาจไม่คิด หรือคิดไม่ถึงก็ได้ว่าจะมีครูที่สามารถทำเช่นนี้ สอนสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทำสิ่งที่ไม่ควร ให้เด็กผู้ได้ชื่อว่าเป็น "ลูกศิษย์" ได้ และครูบางคนสามารถล่ารางวัลได้ทุกปีโดยไม่มีใครสงสัยเพราะลักษณะคนไทยมักคิดเสมอว่าคนเคยได้รางวัลมาแล้วก็ต้องเก่งต้องดีเสมอ และนี่ก็ทำให้คนทำผิดลอยนวลในสังคมครูต่อไป ที่น่าเป็นห่วงก็คือเยาวชนของชาติ meepole ได้แต่เศร้าใจจริงๆกับการกระทำของ "ครู" บางประเภทที่เป็นผู้ล่า (รางวัล) ในปัจจุบัน

Saturday, 20 August 2011

ดาบสองคม

ดาบสองคม ... เมื่อสองมือนั้นไม่ไช่เป็นผู้สร้าง



สัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ มาถึงอีกแล้ว มหาวิทยาลัยทั่วประเทศก็มีการจัดงานนี้ มีกิจกรรมแข่งขันทางวิทยาศาสตร์ต่างๆมากมาย และก็พ่วงคณิตศาสตร์ คอมพิวเตอร์เพิ่มไปด้วย จุดเด่นของงานนอกจากนิทรรศการที่แต่ละภาควิชาจัดแสดงแล้ว ก็มีการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ที่ส่งจากโรงเรียนต่างๆ โดยนักเรียนในระดับต่างๆตั้งแต่ประถมศึกษา จากการได้คลุกคลีกับกิจกรรมเหล่านี้มานานตั้งแต่ปี 2530  ในทุกรูปแบบทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลัง ก็เห็นการเปลี่ยนแปลงของการจัดกิจกรรมนี้เรื่อยมา และยิ่งการที่ได้กลับมาครั้งหลังสุดนี้โดยมาอยู่ในสถาบันแห่งนี้ ได้เห็นการจัดประกวด แข่งขันกิจกรรมวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะที่สำคัญคือโครงงานวิทยาศาสตร์ ที่ถูกส่งจากโรงเรียนต่างๆเข้ามา ทำให้รู้สึกเป็นห่วงเยาวชนและอนาคตของชาติในการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์อย่างมาก หากใครได้มารู้เห็นความจริงที่เป็นอยู่ และรับรู้ความไม่ถูกต้องที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะไม่มีใครซื่อสัตย์จริงจังต่อเป้าหมายการประกวด ตอนนี้ส่วนใหญ่เป้าหมายหลักของครูบางคนอยู่ที่การแข่งขันเพื่อให้ได้รางวัลมา  หากกรรมการเอาใจใส่ มีความรับผิดชอบจริงๆ และมีความเข้าใจงานวิจัยจริง ก็จะทำให้เกิดการพัฒนาในทางที่ดี ผิดพลาดน้อยลง และไม่ให้มีความไม่ถูกต้องเช่นนั้นเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก จนเข้าสู่ระดับประเทศได้ เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องของหลายฝ่ายที่ต้องมีมโนสำนึกและทำหน้าที่ของตนด้วยความเอาใจใส่ ต้องคิดให้ได้ว่าการปลูกฝังสิ่งที่ผิดให้กับเด็กเป็นเรื่องไม่ควรปล่อยปะละเลย

 แต่ที่สำคัญหลายสิบ หลายร้อยผลงานที่ไม่ผ่านไปใหน แต่นักเรียนได้เรียนรู้ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์ผ่านการทำโครงงานแบบที่ไม่ถูกต้อง เกิดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ที่ผิด ผิดตั้งแต่ครูที่สอนผิดอาจเพราะเข้าใจผิดและบางคนไม่ต้องสอนแต่สั่งให้ทำ ครูบางส่วนที่ต้องทำปริมาณงานก็จะเอาแต่ผลงานจะทำในรูปแบบใดก็ได้ขอให้มีผลออกมา จริงๆมีอีกมากมายที่ meepole พบเห็นและอยากเขียน แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขียนแล้วจะเกิดประโยชน์อันใด เพราะไม่มีผู้บริหาร หรือผู้เกี่ยวข้องคนใดจะรับผิดชอบเอาใจใส่ meepole ได้เคยคุย เคยพูด และสอนตอนอบรมการทำโครงงานให้ครูในอดีต ตอนนี้อยากให้มีใครเอาจริงเอาจังกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ไช่ความผิดของเด็ก เพราะเขาเหล่านั้นเป็นเครื่องมือของผู้ได้ชื่อว่า "ครู" น่าเสียใจจริงๆ ที่ครูบางคนในยุคปัจจุบันสองมือนั้นไม่ไช่เป็นผู้สร้าง อยากให้มีสำนึกเกิดในใจของครูผู้สอนที่ให้เด็กทำและเรียนรู้ในสิ่งผิด หรือไม่เอาใจใส่ละเลย กลับใจละอายใจในสิ่งที่ทำ แม้ผลงานท่านจะโด่งดังระดับประเทศเพราะกรรมการที่ไม่เอาใจใส่ หรือเผลอดูแต่รูปแบบและรายงานที่ฉาบฉวย ได้รางวัลเป็นที่รู้จัก แต่เบื้องหลังการให้โอกาสเช่นนั้นกับครูบางคนเหล่านี้ถือเป็นดาบสองคมเพราะเขาก็ยังทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องเหล่านั้นตลอดมาและที่ร้ายที่สุดคือ การสร้างเยาวชนรุ่นใหม่ๆให้เรียนรู้การกระทำที่ผิด ไม่รับผิดชอบ เห็นกลโกงเป็นสิ่งที่ได้รางวัลหากกรรมการจับไม่ติด

ตอนนี้วันวิทยาศาสตร์สำหรับ meepole จึงเป็นเรื่องเศร้าทุกครั้งเมื่อไปเดินดูผลงานโครงงานวิทยาศาสตร์ และสัมภาษณ์เด็ก พบว่าเด็กจะมีความพยายามตั้งใจที่จะตอบอธิบาย แต่เพราะเขาไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาทำ และเข้าใจผิด ทำผิด และพยายามอธิบายด้วยจิตที่บริสุทธิ์ ทำให้เกิดความเอ็นดู ห่วงใยและมองหน้าเขาแล้วคิดว่าทำไมครูที่ปรึกษาของเขาไม่เห็นเพชรเม็ดงามเหล่านี้หรืออย่างไร ?? ทำไมละเลยปล่อยเขาให้มีความเข้าใจผิดเช่นนี้ได้ลงคอ กลุ่มไหนที่หมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องได้รางวัลก็เอาใจใส่ อีกหลายสิบกลุ่มก็แล้วแต่จะทำกันมา ทำให้เป็นห่วงอนาคตการพัฒนาความคิดทางวิทยาศาสตร์ของเด็กไทย และเข้าใจแบบเงียบๆว่าไม่แปลกใจที่ทำไมประเทศเราจึงมีการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ล้าหลังประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาก รูปแบบเป้าหมายของการจัดงานนี้ดี แต่วิธีการที่ปัจจุบันมีผลประโยชน์ต่างๆแอบแฝง ทำให้ความตั้งใจที่จะพัฒนากระบวนการคิดเหล่านั้นถูกบิดเบือน

หากไม่มีใครสนใจหรือตระหนักสิ่งนี้จริงจัง โดยคิดเห็นว่าเป็นเรื่องเล็ก ไม่เริ่มสำรวจตรวจสอบความจริงแล้วแก้ไขกัน  ก็น่าเป็นห่วงอนาคตการพัฒนาของประเทศไทยจริงๆ เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ได้สะท้อนเรื่องเจตคติทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่เรากำลังทำให้ครูที่ต้องการหาทางออก และเด็กที่เป็นเยาวชนของชาติเรียนรู้ คิด ทำในสิ่งที่ผิดเป็นถูก โกงได้ ทุกรูปแบบ ส่งผลถึงความคิดที่บ่มเพาะจนนำมาใช้ในการดำเนินชีวิตที่ถูกผิด ดีชั่วไม่สำคัญ ขอให้ชนะเป็นพอ น่าเศร้าจัง

Monday, 15 August 2011

เหรียญสองด้าน


เบื่อ  แปลกใจ  เศร้าใจ



ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีเวลาว่างเปิดช่องดาวเทียมเพื่อเวียนดูรายการภาพยนตร์ช่องต่างๆ แต่ทุกครั้งที่กดหาช่องจะเกิดความเบื่อ แปลกใจ และเศร้าตามมา แล้วก็รีบบอกตัวเองว่า ช่างเขาเถอะ เราทำอะไรไม่ได้ นอกจากเขียน บอกต่อกับคนที่บอกได้ และให้ความรู้และความคิดแก่นักศึกษาที่สอน มันเป็นดาบสองคมของผู้บริโภคจริงๆ

เบื่อ...ที่มีโฆษณาสินค้าตัวเดียวกันเกือบทุกช่อง แทบจะเรียกว่าผูกขาด หรือทุ่มสุดตัว ส่วนมากเป็นกลุ่มอาหารเสริม สินค้าดูแลสุขภาพพวกเอนไซม์ที่มาฮอตสุด  สินค้าเสริมความงามในรูปแบบต่างๆ ผิวหน้าที่ต้องการความกระจ่างใส ไร้สิวฝ้า หน้าย่น ทั้งทา ทาน   ที่มอมเมามากขึ้นก็คงเป็นข้อความที่ใช้โฆษณาสินค้าที่ทานแล้วกระชากวัยคุณผู้ชายกลับมาได้ meepole จำได้ว่าเคยมีการร้องเรียนยาตัวนั้นมาแล้วและได้มีการประกาศโดยหน่วยงานรัฐไม่ให้มีการโฆษณา ยาดังกล่าว  แต่กลับยังคงมีในช่องดาวเทียมได้ตลอด หรือช่องพวกนี้ไม่ถูกควบคุม หรือเป็นทางออก หรือ ???

นอกจากนี้ในช่องดาวเทียมยังมีรายการอีกหลายเรื่องที่ต้องใช้วิจารณญาณที่เป็นความเชื่อส่วนบุคคลมากมาย รายการทำนายทายทักเป็นจริงจังไปหมดลองฟังคำถามคำตอบถ้าตั้งสติดีๆ จะหัวเราะได้เลยก็เพราะคนถาม ตอบเองแล้วให้เขาทายทำไม meepole ก็ตอบได้ หุ หุ  รายการแบบนี้มีมากจริงๆ

แปลกใจ...ความแปลกใจ เกิดจากการที่ได้เห็นผู้นำเสนอหรือพิธีกร หรือ presenter สินค้าหลายรายการเป็นคนที่ดูว่าน่าจะมีความรู้ หลายคนเป็นที่รู้จักกันดีของสังคมเพราะออกรายการปกติหลายช่องและประกอบอาชีพหลักที่ไม่ควรเข้ามารู้ดีมากมายเกี่ยวกับสารเอนไซม์ได้เลย  ทำให้เวลาพวกคนเหล่านั้นพูดเหมือน "นกแก้ว" พูดแนะได้หัวปักหัวปำ หัวส่ายไปมา คล่องมาก ยังไงยังงั้นเห็นแล้วเสียดาย คน จริงๆไม่น่าเลย !!

แปลกใจ...ที่ผู้รับจ้างนำเสนอ รับจ้างโฆษณาสินค้าเหล่านั้นเชื่อใจ สินค้านั้นจริงหรือ?? เคยทดลองใช้สินค้านั้นก่อน เห็นผลจริงแล้วเกิดศรัทธาอย่างนั้นหรือ ??  ถ้าไม่ไช่ก็แสดงว่า เงินมีอิทธิพลเหนือจิตสาธารณะจริงๆ บาปกรรมจริงๆหากผู้หลงเชื่อสินค้าบางรายการนั้นเสียเงินมากมายซื้อไป เมื่อทานไปแล้วเกิดโทษร้ายแรงในอนาคต

เศร้าใจ ... เศร้าใจที่ไม่น่าเชื่อเลยสำหรับคนที่เป็นคนของประชาชนเหล่านั้นจะสามารถใช้ความเชื่อถือของผู้บริโภค ของชาวบ้าน ที่มีศรัทธาในอาชีพของตนเพราะเป็นคนสาธารณะ  มาทำสิ่งนี้ น่าเศร้าใจ!!!!
เศร้าใจ..ที่เห็นบางสินค้า ใช้นักบวช ชาวบ้าน คนแก่ๆ มาร่วมตอบคำถามของพิธีกรเพื่อเป็นตัวอย่างของการใช้แล้วได้ผล รู้สึกลึกกระทั่งคิดว่า นี่หรือคือผลของการให้การศึกษา การให้ความรู้ที่ไม่ทั่วถึง
เศร้าใจ..ที่เห็น presenter สาวๆของบางสินค้าที่ต้องแต่งกายในชุดที่เหมาะกับสินค้าบางประเภทเพื่อเน้นให้เห็น ก็ไม่แน่ใจว่าพวกเธอเหล่านั้นจะรู้คิดอะไรบ้างหรือไม่ แต่ meepole คิดเศร้าแทนพ่อแม่เขาว่านั่นเป็นอาชีพที่ไม่มีทางเลือกจริงๆหรืออย่างไร (แม้ว่าคนรุ่นใหม่จะบอกว่าอาชีพสุจริตก็เถอะ)
เศร้าใจ..เมื่อมาคิดว่าหากไม่มี demand ก็ ไม่มี supply แต่นี่ที่โฆษณากันมากมายก็แสดงว่าน่าจะได้ผลคงมีผู้บริโภคหลงเชื่อซื้อหาไปบริโภคกัน แสดงว่าคนไทยเรายังขาดความรู้ ความเข้าใจเรื่องการดูแลสุขภาพกันมาก (ไม่กล้าคิดว่าขาดการศึกษา) เลยมีช่องว่างให้ผู้ที่อาศัยความไม่รู้ เป็นช่องทางทำมาหากิน
เศร้าใจ..ที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยงานและเจ้าหน้าที่รัฐ ช่างดูดายปล่อยให้มีสิ่งนี้เกลื่อนกลาด จะตามจี้เอาเรื่องเมื่อมีปัจจัยบางประการ หรือสถานการณ์บังคับเป็นตัวกระตุ้น อยากให้มีผู้ที่ทำหน้าที่  ทำด้วยความรู้สึกที่ต้องรับผิดชอบ เป็นห่วงประชาชนคนไทยด้วยกันนั้น จะได้ไม่ต้องเห็นการโฆษณาสินค้าที่ใช้แล้วเสี่ยง สินค้าไม่ผ่านการรับรอง แม้กระทั่งสินค้าที่ห้ามไม่ให้มีการโฆษณาแล้ว มาโผล่ที่ช่องดาวเทียมกันเกลื่อนกลาดเช่นทุกวันนี้

หมายเหตุ เรื่องนี้เอาไปลงในบ้านปลอดพิษ ชีวิตมีธรรมด้วย( http://meepole.blogspot.com/) เพราะเห็นว่าน่าจะเกิดประโยชน์กับผู้ติดตามเช่นกัน

Sunday, 14 August 2011

ขนมในเทศกาลรอมฎอน





เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา (6 สค.) สามีไปกรุงเทพเพื่อร่วมยินดีกับหลานสาว ที่จะเข้ารับพระราชทานปริญญาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลานคนนี้เขาเกิดที่สิงคโปร์ ในขณะที่หลานชายคนโตเกิดที่ฝรั่งเศส เพราะพ่อเขาเป็นข้าราชการในกระทรวงต่างประเทศ ตอนนี้ท่านก็เพิ่งไปประจำที่มาเลเซีย ภรรยา(เป็นน้องสาวของสามี) มาคราวนี้ก็เลยซื้อขนมหลายๆแบบมาฝากบอกว่าเป็นขนมทำในเทศกาลรอมฎอนของเขา (แต่ก็อาจเหมือนขนมเทศกาลบ้านเราเช่นขนมไหว้พระจันทร์ ที่บางแห่งก็ทำขายตลอดปีกันแล้ว แต่อาจมากแบบในช่วงเทศกาล) เพราะรู้ว่า meepole เป็นคอขนม ขนมทุกแบบที่ทำจากแป้งแล้วใส่นม เนย ทุกประเภท ไม่เคยพลาดต้องขอลอง แต่ขนมบางประเทศเขาไม่นิยมใส่เนยสดมากนัก ก็ไม่ชอบ แต่ก็จะลองสักชิ้นสองชิ้นเพื่อเป็นประสบการณ์  เวลาซื้อที่เป็นกล่อง กระป๋องก็ต้องดูเปอร์เซนต์เนย (ไม่ไช่มาการีน) ต้องมากกว่า 30% ขึ้นไปจึงจะหอมอร่อย ตอนสาวๆ meepole ถึงขนาดทำ cooky ทานเอง เพราะต่างจังหวัดไม่ค่อยมีขนมแบบที่ใส่เนยสด ส่วนมากใส่กลิ่นมากกว่า

เลยเอารูปขนมมาฝาก ลูกสีเขียวเป็นไส้ถั่ว เม็ดมะม่วงหิมพานต์แบบถั่วตัดบด ไม่ไช่ถั่วกวนก็เลยแปลกดี แป้งเป็นแบบขนมสำปันนีไทยร่วนๆ ส่วนสีเหลืองรีๆใส้สับปะรดกวน แป้งไม่หอมเนย  สีขาวกลมเป็นคล้ายๆขนมสำปันนีไทยแต่ผสมถั่วบด  พักผ่อนติดกันสามวันในสุดสัปดาห์นี้ก็เลยมีของทานกับน้ำชา ชา กาแฟ และสารพัดเครื่องดื่ม และยิ่งตอนนี้ประเทศไทยอุดมไปด้วยสารพัดผลไม้ ที่บ้านเลยมีลองกอง มังคุด เงาะโรงเรียนนาสาร ทุเรียน มะพร้าวอ่อน เขียวเสวย น้ำดอกไม้ ตั้งรอ จัดคิวทาน เรื่องน้ำหนัก ไม่อยากคิดถึงจริงๆ สงสารทั้งตัวเองและตาชั่งที่เพิ่มตัวเลขขึ้นเรื่อยๆเพิ่มเอาๆๆ  หุ หุ

Saturday, 13 August 2011

พักผ่อน

Everything Begins Here In Our Hearts


คงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า "การนอนหลับเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด" ซึ่งก็เป็นความจริง ไม่ว่าจะเหนื่อยเมื่อยล้าทางกายหรือใจ หากได้หลับสนิทสักหนึ่งตื่น ตื่นขึ้นมาความผ่อนคลายจะเกิดขึ้นพร้อมที่จะเผชิญชีวิตในยกต่อไป แต่เราจะเอาแต่พักผ่อนโดยการเอาแต่นอนๆๆๆๆ ก็ไม่ได้อีกนั่นล่ะ วงจรชีวิตก็จะขาดสมดุลไป  ดังนั้นการพักผ่อนของแต่ละคนจึงแตกต่างกันไป แต่ทุกคนมีจุดประสงค์ของการพักผ่อนที่คล้ายๆกันคือต้องการให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย สบายๆ  ส่วนการที่จะได้มาซึ่งการ พักผ่อน อันนี้ก็คงมีหลากหลายวิธี ตามแต่ปัจจัยจะอำนวยให้ เช่น วันเวลา  สถานที่ที่ชอบ  กิจกรรมที่ชอบ  สำหรับบางคนค่าใช้จ่ายก็เป็นตัวตัดสินการเลือกสถานที่

สำหรับ meepole นอกจากการนอนหลับตามเวลาเป็นปกติแล้ว ถ้าไม่ไช่เวลาที่สอนหนังสือ เวลาที่เตรียมการสอน หรือเมื่ออยู่ในมหาวิทยาลัย แล้วล่ะก็  ล้วนพักผ่อนทั้งสิ้น เพียงแต่รู้สึกพักผ่อนมากหรือน้อยเท่านั้น ความรู้สึกได้พักผ่อนในแต่ละคนจึงเป็นเรื่องของอุปนิสัยเช่นกัน บางคนได้ออกไปชอบปิ้ง จ่ายเงินซื้อของชอบก็คิดว่าพักผ่อน (เครียดตอนจ่ายค่าบัตรเครดิต ตอนปลายเดือนก็เป็นอีกเรื่อง) บางคนเที่ยวชายทะเล ป่าเขาในวันหยุดที่ทุกๆคนก็หยุด คนเลยเยอะแยะ ดูวุ่นวายไปหมด  บางคนดูหนัง ฟัง เพลง ตามสถานที่ต่างๆ แม้กระทั่งการไปที่อโคจรสถานบางคนก็ว่าพักผ่อน ผู้อาวุโสก็อาจไปเที่ยวไปไหว้พระยังวัดต่างๆ เป็นต้น เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องนานาจิตตัง

เพื่อนบางคนรู้สึกแปลกใจที่วันหยุด meepole จะไม่ค่อยไปเที่ยวไหน และก็มักจะถูกถามว่า "ไม่ไปพักผ่อนบ้างหรือ ??"  หลายคนจะเข้าใจว่าการพักผ่อนคือการออกไปเที่ยว เปลี่ยนบรรยากาศ ซึ่งบางครั้งเขาอาจไม่สังเกตุว่า กลับมามักเหนื่อยล้ากว่าก่อนไปเสียอีก บางครั้งอาจมีของแถมให้หงุดหงิดด้วย แต่ของ meepole  การได้ทำในสิ่งที่ชอบ เพลิดเพลิน อยู่กับสิ่งที่เรารัก ในที่ๆเราชอบ และมีความสุข เป็นการพักผ่อนทั้งกายและใจที่ดีที่สุด การเขียนหนังสือ การอ่านหนังสือที่บ้าน เป็นการพักผ่อนที่สบายใจของ meepole เพราะเวลาเขียนหรืออ่าน ได้อยู่กับตัวเอง อยู่ในบรรยากาศหรือสิ่งแวดล้อมที่เราชอบ เสียงนกสารพัดชนิดที่ร้องทั้งวัน เจ้าตัวร้ายตัวกวนทั้ง 4 ตัวที่ต้องผลัดกันเข้ามาให้เอาใจ  เพลินกับเสียงเพลงเบาๆ หรือภาพยนตร์ ที่ได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้าง  กลิ่นดอกไม้ยามเย็นที่ผลัดกันส่งกลิ่นตามช่วงเวลา และมีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็นข้อเขียนขึ้นบนบล็อก ด้วยความตั้งใจที่จะให้เกิดประโยชน์ไม่มากก็น้อยแก่ผู้ที่ได้เข้ามาเยือนอย่างเงียบๆ  และที่สำคัญการพักผ่อนของ meepole ประหยัดไม่ต้องจ่ายเงินมากมาย ไม่ต้องไปไหน ไม่วุ่นวาย เป็นสุขกับตัวเอง และสุขที่รู้สึกว่าได้ทำตนให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่นที่แวะเข้ามา ซึ่งอาจเป็นเวลาพักผ่อนของใครบางคนเช่นกัน
แล้วคุณล่ะคะ ลองพักผ่อนอย่างเป็นสุข ด้วยการมอบสุขให้ผู้อื่น จะรู้สึกสบายอิ่มใจจริงๆค่ะ เหมือนที่ว่า

Everything Begins Here In Our Hearts

Friday, 12 August 2011

ด้วยรัก ผูกพัน และอาลัย "เจ้าแรด" 2

ด้วยรัก ผูกพัน และอาลัย "เจ้าแรด"

เจ้าแรด บนปากบ่อบ้านของเขา



ไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ หากเรามีความรักผูกพัน และความรู้สึกที่ดีต่อกันเมื่อมีการจากก็ย่อมเกิดความรู้สึกเศร้า อาลัย ....

จำได้ตอนเด็กๆหลังบ้านเป็นโกดังเก็บเหล็ก มีส่วนที่เป็นสวนเล็กๆ ปลูกต้นไม้บ้างที่เด่นจะมีต้นมะพร้าวอ่อนพันธ์มูสี 1ต้นซึ่งmeepoleจะใช้เป็นที่เล่น นั่งนอน ทำอะไรก็จะมาขลุกที่นั่น หลายปีมากอาจเป็นสิบปี ได้ทั้งกินลูกมะพร้าว จนรู้สึกว่ามะพร้าวต้นนั้นเป็นส่วนหนึ่งที่โตมาพร้อมกัน และวันหนึ่งที่ที่บ้านต้องการสร้างบ้านหลังใหม่จึงต้องตัดต้พร้าวนั้นออก จำได้ว่าตัวเองแอบมองจากบนบ้านแล้วนั่งร้องให้ ที่มันจากไป น่าจะเป็นความรู้สึกถึง "การจาก" ครั้งแรกในชีวิตเพราะยังจำได้ไม่ลืม

ส่วนเจ้าแรดนี่ผูกพันเพราะเราให้อาหารเขา ตามองตา ดูเขาโตวันโตคืน บางทีหมั่นไส้มากก็จะบอกว่า "แรดโตนึ่งได้ 1 จานหรือยัง ?"  จำได้ว่าตอนมาไม่นานเราห่วงว่ามีเขาตัวเดียวแล้วเขาจะเหงา อุตสาห์ไปหาเพื่อนแรดมา 3 ตัว ปรากฎว่าวันรุ่งขึ้นไปวัดพระอาจารย์บอกว่าคงต้องเอาสมาชิกใหม่ไปคืน เพราะเจ้าแรดไม่ยอม วิ่งไล่วนไปมาเกือบทั้งคืนและชนกระถางไม้น้ำล้มอีกตะหาก สรุปว่า ต้องเอา3 ตัวไปคืนเหลือเจ้าแรดโดดเดี่ยวผู้น่าหมั่นไส้ตัวเดียว 

 ....แต่คนอย่างเราๆก็ยังไม่ละความพยายาม มีโยมเอาปลาคาร์ฟมาให้พระอาจารย์เลี้ยงอีก คราวนี้จลาจลก็เกิด เพราะเจ้าแรดไม่ยอมให้อยู่ ในที่สุดก็ต้องจัดจราจรใต้น้ำใหม่โดยเอากระถางบัว และอเมซอนมาปลูกตรงกลางบ่อครึ่งทาง ก็ดีขึ้น ให้อยู่คนละครึ่งเขต หลังจากนั้นมีโยมเอามาเพิ่มให้ และมีที่เกิดลูกปลาเอง ในที่สุดสมาชิกคาร์ฟก็เพิ่มเป็นสิบกว่าตัว คราวนี้เด็กๆก็ซนตามประสาไม่รู้จักเส้นแบ่งเขตก็เลยว่ายข้ามไปเล่นข้างเจ้าแรด พวกเราแอบดูด้วยความเป็นห่วงว่าแรดจะหงุดหงิดเหวี่ยงใส่เด็ก แต่ผิดคาดเพราะเจ้าแรดแค่แกว่งลูกตาไปมาดูเด็กๆ สังเกตุเห็นเช่นนี้ก็สบายใจ ...แต่วันหนึ่งเริ่มเห็นว่าเจ้าแรดเริ่มไล่บางตัวออกนอกเขต  เจ้าแรดจะว่ายไล่ส่งถึงเขตนอกของเขาแล้วกลับ ทำให้รู้ว่าพวกเด็กๆเริ่มโตจนเกิดขนาดที่เจ้าแรดจะเอ็นดูแล้ว พระอาจารย์เลยสั่งทำตะแกรงอย่างดี ไม่มีคม มากั้นแบ่งเขตตรงกลางบ่อ ขนาดรูตะแกรงนี้เจ้าตัวขนาดเล็กเช่นปลาทอง ว่ายลอดไปมาได้ ดังนั้นเจ้าแรดเลยได้แต่มองตาปริบๆ เวลาข้างปลาคาร์ฟเข้าแถวว่ายน้ำเรียงกันเกือบ 20 ตัว 


เรื่องที่น่ารักอีกเรื่องของเจ้าแรดคือเขามีน้ำใจเรื่องการแบ่งอาหาร ถ้าไม่สัมผัสเองหลายสิบครั้งคงไม่เชื่อ หลายครั้งที่ส่งผลไม้ป้อนแรด โดยเฉพาะกล้วยและมะละกอ แรดจะเอาเข้าปาก หงึบๆสองสามครั้งแล้วพ่นออกมาเป็นชิ้นเล็กๆ เราก็นึกว่าเขาคายทิ้ง เขาจะทำสองสามครั้ง แล้วก็กินชิ้นต่อไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็เห็นว่าเขาพ่นออกมาให้คาร์ฟที่ว่ายมารอแถวตะแกรง เวลาให้ผลไม้จะป้อนส่งเขาตรงแนวกลางพอดี คาร์ฟเราจะให้อาหารเม็ด แต่เจ้าแรดไม่สนใจ เขาจะชอบผักมากกว่าดังนั้นถ้าช่วงใหนไม่มีเวลาว่างนักก็ให้คนดูแลซื้อผักกาดหอม ผักบุ้งให้กิน

พอเขาอายุมากขึ้นๆเรื่อยๆ เราก็รู้สึกว่าเขาก็คงรู้ตัว เขาสงบเย็นขึ้น ไม่เกรี้ยวกราดกับตัวกลางๆเท่าใดนัก บางทีเด็กวัยรุ่นพวกนี้ก็ว่ายไปกองแถวแนวกลางเขต ถ้าเป็นตอนหลายปีก่อนเจ้าแรดจะวิ่งออกมาชนตะแกรงเลย ตอนหลังนี่เขาจะดูเฉยๆ
ถ้าเทียบกับคน 15 ปีของเจ้าแรดคงเป็น 80-90 ปี ของคน เขาแข็งแรงมาตลอด ไม่เคยกวนใจ ไม่เคยหาเรื่องมาให้เราขุ่นข้องหมองใจ ทุกเวลาที่ผ่านไปเราจึงรู้สึกรัก ผูกพัน เหมือนสมาชิกของครอบครัว เมื่อรู้ว่าเขาตาหลุด ทุกคนที่รู้ตกใจ สงสาร สำหรับ meepole แผ่เมตตาขอแบ่งความเจ็บปวดนั้นมา ในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้นเขาก็จากไป  เราไปวัดตอนเช้า นิมนต์พระท่านให้มาช่วยบังสกุลให้ ทำบุญอุทิศส่วนบุญ และถ่ายรูปเก็บไว้ระลึกถึงและขุดฝังเขาข้างบ่อที่เขาอยู่มา 13 ปี เป็นสิ่งสุดท้ายที่พวกเราทำให้เจ้าแรด

ทำบุญบังสกุลให้เขา
ไม่ว่าจะเป็นสัตว์หรือคน หากมีความดี และดีจริง เมื่อตายไปย่อมมีคนอาลัย คิดถึง เสียดาย และเขียนพรรณาถึงความดีได้ โดยไม่ต้องปรุงแต่ง เขียนคำอาลัยได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจที่ต้องหลบหลีกสิ่งไม่ดีที่แท้จริง เหมือนที่มีการพูดว่า คนตายทุกคนดีหมด

 ดังนั้นจงพยายามหาความดีมาเติมเต็มชีวิตของเราตลอดเวลา อย่าได้พลาดโอกาส ไม่ไช่เพื่อจะให้มีอะไรดีๆให้เขียนเป็นอนุสรณ์ตอนตายแล้ว แต่เพื่อให้ขณะอยู่มีคนรัก จากไปมีความดีคงเหลืออยู่ และไปพบกุศลผลบุญที่เราทำไว้ที่รออยู่เบื้องหน้าอย่างมีสุข

ด้วยรัก และอาลัย  จนกว่าจะพบกันอีกนะ "คุณแรด"

Thursday, 11 August 2011

ด้วยรัก ผูกพัน และอาลัย "เจ้าแรด"

ด้วยรัก ผูกพัน และอาลัย "เจ้าแรด"





เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (8ส.ค.) ตอนเช้าได้รับข่าวเศร้าครั้งที่สองว่า "เจ้าแรด"หรือ "คุณแรด" ตายแล้ว เพราะเมื่อคืนวันอาทิตย์เพิ่งรู้ข่าวว่าเขา ตาหลุด ไม่มีใครรู้ว่าเพราะอะไร แต่คนดูแลบอกว่า เห็นเจ้าแรดนอนแผ่เฉยๆที่ใต้น้ำ นึกว่าตายพอจะจับตัวเขาก็ดิ้น เลยเอาขึ้นมาใส่อ่างใบยักษ์ ตรวจดูจึงเห็นว่าตาหลุดไปข้างหนึ่ง meepole เมื่อรู้ข่าวก็ค้นเรื่องปลาตาหลุด อ่านๆๆๆ  ว่าจะทำยังไง สรุปไม่มีคำตอบในเรื่องนี้ แต่ปลาทองตาหลุดยังมีชีวิตต่อได้ ก็เลยอุ่นใจว่าเจ้าแรด อาจมีชีวิตต่อได้อีก ไปสวดมนต์ทำวัตรเย็นก็ไปเยี่ยมเขา นั่งสมาธิก็แผ่เมตตาให้ตลอดขอให้เขาบรรเทาความเจ็บปวด และมีชีวิตอยู่ต่ออีกเถอะ ก่อนนอนก็ยังเป็นห่วงคิดถึงว่าจะช่วยเขายังไงดี....แผ่กุศลให้เขาปลอดภัยจนหลับ ในที่สุดสิ่งที่ไม่คาดคิดก็ผ่านเข้ามา...

เจ้าแรด เป็นชื่อที่เราเรียก ปลาแรดตัวนี้ด้วยความเอ็นดู (แกมหมั่นใส้) เขามาอยู่ที่วัดกับพระอาจารย์ในบ่อเลี้ยงปลาที่สร้างขึ้นที่หน้ากุฎิ โดยมีโยมเอาหัวหมูไปแลกกับชาวประมง เพราะเขาติดอวนมายังไม่ตาย พระอาจารย์รับเลี้ยงไว้  ยังจำวันแรกได้เหมื่อนเพิ่งผ่านไป เพราะ meepole และสามี วุ่นวายกับการจัดการหาอาหารให้เขา เพราะไม่รู้จะเอาอะไรให้กินดี ไปถามหลายคน ใครบอกอะไรก็หามา จนกระทั่งถึงจิ้งจก ก็เลยยอมแพ้ไม่จับ  เปลี่ยนเป็นอาหารปลาเขาก็ไม่กิน หลายวันที่ไม่เห็นเขากินอะไร ด้วยความกลุ้มใจของทุกคน จำได้ว่าครั้งแรกที่เขายอมกินคือ กล้วยน้ำว้าสุก ด้วยความบังเอิญที่ประชด เพราะไม่รู้จะเอาใจยังไงแล้ว ตั้งแต่นั้นมาก็ลองพืชผักทุกชนิด เขาชอบองุ่นสีม่วงมากๆ (ต้องปอกผิวออก และต้องอย่างหวานด้วย ) รองลงมาชอบมะละกอสุก กล้วยน้ำว้าสุก  หั่นบางๆ ป้อนกับมือได้เลย เขาจะเงยหัวมารับเองกับมือ แต่เขาจะทำเช่นนี้เฉพาะกับสามี meepole เพราะเขาจะทักทายกันทุกวัน จนจำได้ ตอนหลังก็ยอมรับจากพระอาจารย์ และ meepole แต่ meepole ชอบฉวยโอกาสแต๊ะอั๋ง จับโหนกหัวและตัวเขาเสมอ ก็ชอบเล่นตัวดีนัก พอรับอาหารแล้วก็หมุนตัวกลับทันที แต่กับสามีเราเคี้ยวหงับๆ สองสามที ก็อ้าปากรับอันต่อไป แต่หลังจาก meepole ไปเรียนหลายปี กลับมาอีกครั้งเจ้าแรดจำไม่ได้แล้ว (หนอยแน่ ! ความจำสั้น ) ก็ไม่ยอมขึ้นมารับจากมืออีก

เขาอยู่กับพวกเรามาประมาณ 13 ปี ก่อนหน้าจะมาอยู่ที่วัดอายุเท่าไหร่ไม่รู้ ก็เดาว่าสัก 1 -2 ปี ก็เลยคำนวนกันและคาดเดาว่าเจ้าแรด น่าจะอายุประมาณ 14- 15 ปี พระบางรูปบอกว่า "อยู่ก่อนอาตมาบวชซะอีก" หลายคนที่หากมาเยี่ยมเยือนพระอาจารย์ก็จะมาทักทายเจ้าแรด เพราะเขาน่าหยอก หากใครเอามือไปถูกเครื่องให้ออกซิเจนใต้น้ำของเขา เขาหวงจะไล่งับมือ เราเลยแกล้งให้มันไล่งับ (ให้มันออกกำลังครีบบ้าง หุ หุ)

เจ้าแรดรักความสะอาดมาก ถึงมากที่สุด  เขาจะลงทุนว่ายน้ำจากอีกด้านที่เขาอยู่มายังฝั่งตรงข้ามที่ปลาคาร์ฟอยู่เพื่อ อึ !! อุจจาระเขาก้อนใหญ่ประมาณนิ้วก้อยแต่ยาว ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจหากจะเห็นได้ชัดว่าด้านที่เจ้าแรดอยู่นั้นสะอาดมากๆๆ ไม่มีอึ แม้แต่ก้อนเดียว ไปอึด้านเพื่อนเสร็จแล้วก็ว่ายกลับไปที่เดิมอยู่นิ่งๆเอาหัวจ่อไว้ที่กระถางบัวนิ่งๆแบบนั้นได้ตลอด หรือหากเมื่อยก็ว่ายวนรอบกระถางสักรอบสองรอบ แต่ไม่ว่ายไปมาตลอดสระเพราะเขาไม่คบพวกคาร์ฟ เราสันนิษฐานกันว่ามันคงอิจฉาที่สีสวยกว่า หรือไม่ก็เป็นปลาขี้หงุดหงิดไม่ชอบปลาเด็กๆ (เพราะปลาคาร์ฟพวกนั้นยังเป็นเด็กๆ กะ วัยรุ่น) อ้อ! เจ้าแรดเขาจะไม่ยอมให้ปลาคาร์ฟพวกนั้นข้ามเขตมาเป็นอันขาด ก็จะเห็นหลายครั้งพวกเด็กที่ชอบลองของ ว่ายเฉียดล้ำเส้นมา เจ้าแรดจะออกไปเอาปากชนทันที เป็นกีฬาใต้น้ำของพวกเขาเหมือนกัน........ไว้เล่าต่อตอน 2 ยังมีเรื่องน่ารักๆ ของเจ้าแรดอีกค่ะ แล้วจะเข้าใจเลยว่าทำไมจึงเศร้า ทำไมเรารักและผูกพันกับเขามาก

Tuesday, 9 August 2011

Nobody knows......

Nobody knows......




"Next life or tomorrow,we can never be sure which one will come first."

His Holiness Dalai Lamma


Nobody knows how long he's going to be .

Whatever we can let go of, it'll better to do it now.
 We can make the commitment to release as many attachments possible.

Saturday, 6 August 2011

สัตว์ประเสริฐ

สัตว์ประเสริฐ
by meepole



หลายวันมาแล้วบังเอิญได้พบและคุยกับอาจารย์ที่ตามอ่านบล็อกนี้มาเป็นเวลาพอควร อาจารย์เขาก็ตั้งข้อสังเกตุว่าทำไมไม่เขียนเรื่องสิ่งแวดล้อมบ้าง ก็เลยหัวเราะแล้วตอบว่า ถ้าต้องให้เขียนเรื่องสิ่งแวดล้อมที่เป็นวิทยาศาสตร์ ที่สอนอยู่สารพัดวิชาแล้วล่ะก็ ตอนนี้คงยังไม่เขียน เพราะมันจำเจมาก ไว้ตอนลาออกแล้ว อาจจะคิดถึงวิชาเหล่านั้น ..ตอนนี้ขอเขียนถึงสิ่งแวดล้อมที่สำคัญคือ มนุษย์ หรือ คน ก่อน เพราะ "คน" นี่ล่ะ! ที่เป็นตัวสร้างสรรค์ที่ดีเลิศ และก็เป็นตัวทำลายที่ร้ายแรงที่สุดเช่นกัน (แต่ก็เขียนเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพทั่วไปอาจไปอ่านได้ในบล็อก บ้านปลอดพิษ ชีวิตมีธรรม แต่ก็นานๆเขียนเหมือนกัน )

คงเคยได้ยินที่เรามักจะพูดเข้าข้างตัวเองเสมอว่า มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ
แต่จริงๆแล้วจะ "ประเสริฐ" หรือไม่ขึ้นอยู่กับคุณธรรม และการกระทำของตัวเอง ..
ไม่ไช่เพราะเป็น มนุษย์ จึงเป็นสัตว์ประเสริฐ
ดังนั้นหากมนุษย์คนใดไร้ซึ่งคุณธรรม มโนธรรมแห่งการครองตนและการอยู่ร่วมกัน
แล้วล่ะก็ ...
เราก็คงเป็นสัตว์เฉกเช่นสัตว์ทั่วไป ที่อยู่กันได้โดยสัญชาตญาณ มากกว่า


แล้วเมื่อไร "สัตว์ประเสริฐ" จะเป็นเพื่อนที่ดี รักสามัคคี หยุดการเบียดเบียน ฉ้อโกง เอาเปรียบต่อกันได้สักที
และเมื่อไร "สัตว์ประเสริฐ" จะไม่ต้องพึ่งตัวอย่างจากสัตว์ที่พวกเรามองว่าต่ำกว่าสักที
แล้วจะเห็นว่าแม้ในสัญชาตญาณของสัตว์ ยังมีความรัก และเมตตา เอื้อเฟื้อต่อกัน
แล้วสัตว์ประเสริฐอย่างเรา..???


อ่านเรื่องลิงกับหมาได้ใน : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2207863#ixzz1UDd31Uwd

Friday, 5 August 2011

ดี-ชั่ว ก็เป็นครู

ดี-ชั่ว ก็เป็นครู


ที่มาภาพ: thaigoodview.com

คนที่มีความสามารถ และความดี ที่ยิ่งใหญ่นั้น แม้ว่าจะจากโลกนี้ไปแล้ว ...
ก็ยังสามารถเป็นแรงบันดาลใจ ให้คนที่ยังอยู่เปลี่ยนแปลงได้

และก็เช่นกัน คนทำชั่วมากหลาย ที่ตายไปก็เป็นบทเรียนของการดูเยี่ยงแล้วอย่าเอาอย่าง เหมือนที่เคยมีคนเขียนไว้ว่า.......
 ไม่ว่าคนดีหรือเลวเดินมาเขาทั้งสองก็เป็นครูเราได้ทั้งสิ้น





ขงจื้อ(นักปราชญ์ของจีน)ได้กล่าวไว้ว่า "ถ้ามีคนเดินผ่านหน้าข้าพเจ้าสองคน สองคนนี้สามารถเป็นครูของข้าพเจ้าได้ทั้งคู่"


ลูกศิษย์ถามว่า : เป็นครูยังไงครับอาจารย์

ขงจื้อกล่าวว่า : สำหรับคนดี ข้าพเจ้าบอกตัวเองว่า ข้าพเจ้าจะต้องเอาอย่างเขา สำหรับคนชั่ว ข้าพเจ้าจะเตือนตัวเองว่า จงอย่าได้เจริญรอยตามเขา


ในสังคมปัจจุบันที่มีความเจริญทางวัตถุอย่างไม่รู้จบ และคนส่วนมากก็วิ่งตามสิ่งเหล่านั้นโดยไม่รู้ตัว จนไม่มีเวลาหยุดเพื่อมองตัวตน พัฒนาจิตตน ดี-ชั่วผ่านเข้ามาตลอดเวลา ยังไงก็ให้มีสติ ปัญญา ในการแยกแยะ ดี-ชั่ว และหวังว่าทุกท่านคงเห็นด้วยกับคำกล่าวของขงจื้อ ว่าเป็นคำสอนของครูที่ดีเช่นกัน

Thursday, 4 August 2011

Your cake is not my cake

Your cake is not my cake !!
by meepole


สำหรับข้าราชการ ชั้นยศ ตำแหน่ง เป็นสิ่งปรารถนาของส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่ทุกคนหรอก เชื่อเถอะ!!  บางคนได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่ทุกข์  และก็มีอีกจำนวนมากที่พยายามทุกวิถีทางที่จะได้มันมา แน่นอนการที่จะได้มาก็มีสองวิธีคือโดยชอบธรรม และไม่ชอบธรรม มันก็เป็นวิถีโลก เพียงแต่ไม่อยากให้คนเราวัดความดี ความสามารถด้วยการมียศ ตำแหน่งใหญ่โต ได้เลื่อนขั้นเงินเดือนพิเศษทุกปีเว้นปี มีอะไรดีเด่น ได้หมดทั้งๆที่เบื้องหลังไม่ไช่ในสิ่งที่เห็น แล้วไปดูถูก ดูแคลน คนที่ไม่ได้มีอะไรเด่นพิเศษ

 อาจารย์อาวุโสท่านหนึ่งที่จะเกษียณในปีนี้ ท่านก็ได้คุยถึงความหลังของคนรุ่นเก่าที่ทำงานร่วมกันอบอุ่นแบบพี่น้อง ที่ต่างจากยุคปัจจุบันที่สามารถยิ้มเข้าหากันได้ แต่ไม่ผูกพันกัน เหมือนหุ่นยนต์ ตัวใครตัวมันและพร้อมจะเหยียบหลังกันได้ทุกเมื่อแม้ขณะยิ้ม อาจารย์ท่านบอกว่ามันเป็น สะเหยะ ยิ้ม (ไม่ทราบว่าสะกดแบบนี้ถูกหรือเปล่า เพราะไม่ค่อยได้ยินคำนี้บ่อยนัก) เสียมากกว่า คนรุ่นใหม่เข้ามาทำงาน ไม่สนใจผู้อาวุโส ยิ่งเป็นผู้อาวุโสแบบที่ไม่มีตำแหน่งใดๆ ก็ยิ่งเป็นทวีคูณเพราะไม่สามารถให้คุณให้โทษได้ แต่สำหรับคนที่มีตำแหน่งแม้ระดับเล็กๆ เช่นระดับหัวหน้าโปรแกรม คณบดี หรือผอ. จะได้รับการไหว้เช้า ไหว้เย็น ทักทาย ชีวิตราชการของอาจารย์ท่านนี้ไม่หวือหวามาก เรียบๆเรื่อยๆ สนใจสอนเด็ก อยู่กับเด็กและงาน ไม่ได้อยู่กับผู้บริหาร ลูกศิษย์ออกไปได้ดีก็ชื่นใจ ครองตนสมถะ อะไรไม่ดี รับรู้แต่ไม่ข้องเกี่ยว


 ขณะคุยอาจารย์ก็อดไม่ได้ที่จะเตือน meepole ให้หลบหลีกระวังบางคน บางเรื่องให้ดี ก็ได้บอกขอบคุณ แต่ก็บอกไปว่าคนเหล่านี้ที่เอ่ยมาไม่ได้อยู่ในเส้นทางที่จะพบกันเพราะเส้นทางของ meepole ก็คล้ายๆกับท่านแต่ต่างที่ meepole รักและสนุกกับการเป็นนักวิชาการอิสระมาก อิสระจนคำว่า เจ้านายไม่มี เพราะที่นี่แปลกคนหลายๆคนจะเรียกหัวหน้าในเกือบทุกตำแหน่งว่า เจ้านาย หรือ my boss และหัวหน้าเกือบทุกตำแหน่งก็ทำตัวเป็นเจ้านายจริงๆ ทั้งๆที่เป็นข้าราชการ เป็นพนักงานราชการ ตอนเช้า สาย บ่าย เที่ยง ต้องมีคนเสริฟ์ชา กาแฟ อาหารว่างถึงโต๊ะ และต้องรู้ว่าใครไม่ชอบอะไร ชอบอะไรเป็นพิเศษ  สำหรับ meepole แล้ว (ข้าราชการหน่วยงานอื่น ไม่ทราบธรรมเนียมปฏิบัติ) แต่ข้าราชการครู ไม่ควรมีเจ้านาย ทุกคนเป็นครู มีจิตเป็นครู ควรอยู่เหมือนพี่น้อง ญาติมิตร ที่ร่วมกันทำงานให้กับแผ่นดิน เป็นข้าของราชการ ข้าของแผ่นดิน ช่วยสั่งสอนอบรม เด็กรุ่นต่อๆไปให้มีความรู้  คุณธรรม มีความเป็นมนุษย์ เหมือนกับที่ตนเองเคยได้รับการสั่งสอนมา

meepole เคยคุยกับหลายคนรวมทั้งอธิการบดีว่า Your cake is not my cake ดังนั้นอย่ามองว่าทุกคน มีความปรารถนาในสิ่งเดียวกัน สำหรับบางคนแล้ว ยศ ชื่อเสียง ตำแหน่ง ที่หลายคนช่วงชิงชนิดไม่ได้ด้วยเล่ห์ โกงมาก็ทำ ไม่ไช่ที่ปรารถนา แต่ที่ต้องการคือ ได้ทำงานในบทบาทที่ตัวเองรัก ทำในหน้าที่อย่างถูกต้อง สุจริต และความภูมิใจคือการสามารถหลบหลีก ละเว้นการทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ผิดต่อคุณธรรม และจรรยาบรรณแห่งอาชีพ นั้นคือศักดิ์ศรีที่มีกันได้ในเส้นทางชีวิตการเป็นข้าราชการ ข้าของแผ่นดิน และเล่าให้ลูกหลานและคนอื่นๆได้อย่างภูมิใจ และอย่างน้อยที่สุด เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน และที่สำคัญลูกหลานจะไม่เคยได้ยินใครพูดให้รู้ว่าพ่อแม่ของตัวเองมีเส้นทางที่ได้มาหรือทำมา อย่างน่าละอายเพียงใด (ประโยคสุดท้ายไม่ได้พูดให้ใครบางคนได้ยิน เพราะแสลงมากไป อจ.ที่คุยด้วยท่านเตือนไว้ว่าของแสลงลดๆการแจกบ้างนะลูก หุ หุ )

Wednesday, 3 August 2011

หยุดความอยาก ก็พ้นทุกข์

หยุดความอยาก...ก็พ้นทุกข์


ความทุกข์ทั้งหลายเกิดขึ้นมาจาก การเอา การเป็น หรือ ความอยากเอา อยากเป็น หรือ ตัณหา ทั้งนั้น เพราะไม่รู้ว่าสิ่งนี้หรือสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นสิ่งที่ไม่ควรอยาก โดยสัญชาตญาณเรารู้จักทำตามความอยาก ถ้าได้ผลตรงก็ยิ่งอยากได้และทำมากขึ้นไปอีก แต่ถ้าไม่ได้ผลตามที่ตนอยากก็จะดิ้นรนอยากทำอย่างอื่นต่อไปอีกจนกว่าจะได้ผล วนเป็นวงกลมของ กิเลส กรรม วิบาก เรียกว่า "วัฏฏสงสาร" เป็นวงกลมที่วนเวียนไม่มีสิ้นสุด

 
ความอยากอันนี้เองเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ มีความอยากที่ไหนก็มีความร้อนใจทุกข์ยากตามส่วนของการกระทำตามความอยาก เมื่อได้ผลมาแล้วก็ยังอยากต่อไปร้อนต่อไป ต้องเป็นทาสของความอยากอีก เราจะพ้นจากความทุกข์โดยสิ้นเชิงด้วยลำพังเพียงการกระทำความดีอย่างเดียวเท่านั้นยังไม่พอ ยังต้องทำจิตให้หลุดพ้นไปจากการเป็นบ่าวเป็นทาสของความอยากทุกชนิดนั่นเอง

ลองเริ่มต้นจากการค่อยๆลด ละ วางไปทีละอย่าง จะรู้สึกค่อยๆเบาลงๆ  วันหนึ่งเราก็จะรู้ตัวเอง อย่าเพิ่งตีโพยตีพายว่าทำไม่ได้ วางไม่ได้หรอก ลองเริ่มดูก่อน ไม่ยากจริงๆ ค่ะ จะค่อยๆสุขแบบเบาสบายมากขึ้น

เราจึงต้องทำงานหรือเป็นอยู่ด้วยอำนาจของสติปัญญา คือความรู้ที่แจ่มแจ้งถึงที่สุดว่าอะไรเป็นอะไร จะได้ไม่ร้อนเหมือนคนที่ทำไปด้วยอำนาจกิเลสตัณหา

ที่มาภาพ: dhammada.net

Monday, 1 August 2011

หยุดหาสุข...ได้แล้วจ๊ะ

หยุดหาสุข..ได้แล้วจ๊ะ


เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา meepole ได้ดูภาพยนตร์ซีรีย์ เรื่องเจ้าหญิงอัตสึ ที่ติดตาม มาหลายเดือน ตอนนี้ก็อวสานแล้ว เรื่องนี้มีคำพูดสะท้อนความคิดและวัฒนธรรม  แม้กระทั่งการเรียนรู้ชีวิตจากการดำเนินเรื่องแบบเงียบๆ soft approach แบบญี่ปุ่น  ตอนนี้เป็นตอนที่คัตสึ นายพลเรือคนเก่าแก่มาเยี่ยมเยือนอัตสึในวัยกลางคนที่อยู่อย่างเงียบๆ แล้ว ก็เลยถามทุกข์ สุข เจ้าหญิงอัตสึ ผู้ผ่านชีวิตมาในท่ามกลางมรสุมทุกรูปแบบก็ตอบว่า
"ความสุขของคนเรา ไม่ใช่เพราะ มีทรัพย์สิน ตำแหน่ง เกียรติยศ ชื่อเสียง...
แต่เป็นความรู้สึกในอก อกอุ่นจากการมีเพื่อนที่รู้ใจ และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับครอบครัว"

meepole เคยอ่านบทความ ข้อเขียนจากหลายๆที่ ที่มักจะเขียนหรือตั้งคำถามกันเสมอว่า ความสุข คืออะไร  เป็นอย่างไร ทำอย่างไรจึงสุข  ก็จะได้คำตอบที่หลากหลายแล้วแต่คนเขียนเหล่านั้น ไปสืบเสาะ อ่าน หรือเอาแนวทางจากที่ใดๆมาเขียน และจะมีส่วนน้อยที่จะได้บรรยายความสุขที่ตนเอามาเขียนนั้นที่ได้มาจากการปฏิบัติตนและเกิดสุขเช่นนั้นด้วยตัวเองมาแล้ว  เปรียบเหมือนกับพิธีกรรายการอาหาร ที่เชิญเซฟมือโปรมาปรุงอาหาร แล้วก็พูดบรรยายไปเรื่อยๆ เช่น เติมโน่นนี่ กลิ่นหอมมากๆ ดูสวยน่าทาน ฯ แล้วสุดท้ายเขาอาจได้ชิม หรือไม่ก็ตาม  บางครั้งยังไม่รู้รสเลย แต่จะจบด้วยคำว่า อร่อยจริงๆครับ/ค่ะ .ผู้ชมในบ้านที่ดูแล้วสนใจหากอยากจะอร่อยเช่นนั้นจริงๆก็จะมีสองทางคือ ทำเองที่บ้านตามวิธีนั้น หรือ ไปทานที่ร้านนั่น  ส่วนบางคนได้แต่ตั้งใจว่าวันหนึ่งหากมีเวลาจะทำ หรือ จะไปร้านนั้นให้ได้เพื่อลิ้มรสความอร่อย   ดังนั้นจากการดูรายการทำให้ทุกคนรู้แล้วว่าทำอาหารนั้นได้อย่างไร หรือร้านที่อร่อยอยู่ที่ไหน แต่ยังไงๆก็ไม่ได้ลิ้มรสความอร่อยนั้น จริงๆแล้วความรู้สึกอร่อยนั้นก็เพียงได้จากพิธีกรบอกกล่าว ไม่ว่ายังไงสุดท้ายเราก็ยังไม่รู้เพราะไม่ได้ลิ้มรสความอร่อยนั้นจริงๆ...

... ความรู้สึกอยากได้ลิ้มรสความอร่อยของอาหารเหล่านั้นเกิดจากการได้ยิน มองเห็น  และก็เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ   แต่ไม่เคยได้รู้สึกจากการไปลิ้มลองเลยว่าที่เขาพูดว่าอร่อยแล้ว แล้วเรารู้สึกว่าน่าอร่อย แท้จริงมันมีรสชาติเป็นยังไง ??  มันก็เหมือนกับเรื่องของความสุข ที่ทุกคนแสวงหา อ่านจากที่ต่างๆ บางคนคิดว่าแบบนี้ล่ะสุขแล้ว ใช่เลย ! บางคนบอกว่านั่นเป็นสุขหยาบ ไม่จีรัง  บางคนต้องมีพิธีการมากมายกว่าจะได้สุขนั้นมา  แล้ววันหนึ่งก็รู้ว่าที่แท้ยังอยู่กับทุกข์มาตลอด ... ดังนั้นเหมือนกับที่เราได้ดูรายการอาหาร รับรู้ว่าอร่อยเพราะเขาบอก รับรู้ว่าอะไรคือความสุข เพราะเขาเขียนไว้ แต่จะรู้สึกอร่อยด้วยตัวเอง ต้องได้รับประทานอาหารนั้นเอง หรือการเกิดสุข หรือ รู้สึกสุข ต้องปฏิบัติด้วยตัวเอง  หลายๆคนที่เป็นอยู่ในสังคมตอนนี้เหมือนการไขว่คว้าความสุขกลางอากาศ เมื่อมีอะไรมากระทบ โบกเบาๆสิ่งนั้นก็หายไป แต่หากเราได้พบกับเส้นทางการปฏิบัติที่ถูกต้อง ได้รับรู้ความสุข รู้สึกสุข สุขที่สงบ ปิติสุข  แม้ระดับพื้นฐาน แต่มันพอที่จะให้ชีวิตเราอยู่ได้อย่างไม่รู้สึกหนัก และไม่กระเทือนหากมีสิ่งมากระทบกระทั่ง จะเบาสบาย ในท่ามกลาง และอยู่อย่างไม่ร้อนรน และดำเนินชีวิตไปในเส้นทางที่พอเพียง เพียงพอที่จะให้กับส่วนรวม มากกว่าการแสวงหาใส่ตัวไม่จบสิ้น


 ดังนั้นหากใคร เคยอ่าน เคยรู้ เคยคิดว่าเข้าใจเรื่องความสุขมากพอล่ะก็ ควรหยุดหาได้แล้วจ๊ะ  คงต้องหันมาพิจารณาตัวเองเนืองๆว่า สุขที่รับ สุขที่เข้าใจ สุขที่เป็นอยู่นั้น อยู่กลางอากาศหรือไม่ หรือตอนนี้มันอยู่ในใจเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่ว่ารอบนอกจะวุ่นวายอย่างไร เราก็สุขสงบได้ในท่ามกลางและเหลือเผื่อแผ่ไปยังรอบๆได้ด้วย แล้วปิติสุข สุขที่สงบ จะเยือกเย็นกว่าที่ได้จากการอ่านจริงๆค่ะ

ลองหาเวลาอยู่กับตัวเองนิ่งๆ ใคร่ครวญพิจารณา มามองดูสิ่งที่กำลังหา สิ่งที่กำลังเป็น สิ่งที่กำลังทำ และสิ่งที่ได้มาแล้ว ว่าช่วยสร้างสุขได้มากและจีรังเพียงใด หากคำตอบคือ" ไม่ "แล้วล่ะก็ ....

ไม่ต้องวิ่งตามหาสุขจากที่ไหนอีกแล้ว เพราะแท้จริงมันอยู่ในใจเรา เพียงแต่หยุดวิ่งหาสิ่งที่คิดว่าจะนำมาซึ่งสุขรอบตัวให้น้อยลง แล้วแบ่งมาให้เวลากับการฝึกฝนจิตให้กระเพื่อมน้อยลง โดยอ่านหนังสือธรรมะเพื่อทำความเข้าใจให้เกิดขึ้น สวดมนต์ก่อนนอน ฝึกสมาธิให้จิตนิ่ง สนทนาธรรมให้เกิดปัญญา ทำเถอะนะ ค่อยๆเริ่ม แล้ววันหนึ่งจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดกับชีวิต เมื่อจิตกระเพื่อมน้อยลง มันจะใสเย็นขึ้น จนพบสุขที่อยู่ในใจ ลองดูนะคะ เพราะ สุขที่สงบ เป็นความรู้สึกในใจที่เบาสบาย จริงๆค่ะ :)