Saturday, 28 May 2011

จรรยาบรรณ...ใครมี??





วันนี้ไปช่วยสอนบรรยายหัวข้อ การทำวิจัยวิทยาศาสตร์ให้นักศึกษาสิ่งแวดล้อม ตอนหนึ่งบอกเขาว่า การที่คุณจะเริ่มหาหัวข้อวิจัย หรือคิดหัวข้อวิจัย ก็ต้องเริ่มจากมองเห็นปัญหา คิดอยากจะหาคำตอบ หรือแก้ปัญหานั้นๆ  ไม่ไช่เพราะเห็นเงิน เห็นงบ เลยรีบกันคิดหาเรื่องทำวิจัยเหมือนที่เป็นอยู่ในบางมหาวิทยาลัยที่เห็นงบวิจัยเหมือนขนม  เขียนขอเป็นโครงการใหญ่ ข้างในกลวง ได้มาก็เอามาแบ่งเค้ก ตามหาล่าคนทำ บังคับให้เขียนโครงร่างส่ง บางครั้งก็กลับกัน เร่งให้เขียนเพราะสืบได้ว่ามีเงินตั้งรออยู่  แล้วมีชื่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องสำรองตั้งไว้ เป็นชุด ไว้เป็นที่ปรึกษามีส่วนเกี่ยวข้อง  บางคนเก่งมากเขียนได้ทุกอย่าง ทุกเรื่อง หาข้อมูลคืนเดียวเสร็จ คนเก่งแบบนี้มีเยอะ  บอกเด็กว่าการทำวิจัยแบบนี้ไม่เรียกว่า นักวิจัย หรือนักวิทยาศาสตร์ เขาเรียกว่าเป็น กระสือ หรือ เปรต มากกว่า (ปากว่าแรงไปนิด แต่ถ้าพอเข้าใจ จะนึกออกว่า มันน่ารังเกียจจริงๆ ไม่ควรทำและต้องสอนไม่ให้เด็กรุ่นต่อไปทำในสิ่งไม่ถูกต้องด้วย)

 ที่น่ารังเกียจกว่าคือระดับบริหารบางคนที่ใช้วิธีการหากินกับโครงการจากมหาวิทยาลัยอื่นที่ให้ทุนระดับปริญญาโท มาปีละประมาณ 10 ทุน ทางมหาวิทยาลัยที่ต้องการเงินและผลงาน ผู้บริหารก็บังคับบ้าง แกมบังคับบ้าง ให้อาจารย์รับนศ. แล้วใส่ชื่อผู้บริหารเป็นที่ปรึกษาร่วม เพราะทุกตำแหน่งมีเงิน อาจารย์ดร.ใหม่ รวมทั้งนศ.ที่ไม่เคยทราบประเพณีทำนาแบบนี้ก็เลยมาถามเพราะเขาคิดว่าเขามีสิทธิที่จะเลือกที่ปรึกษาร่วมเองได้ แต่ผู้บริหารคนนั้นบอกว่าต้องใส่ชื่อเขา เพราะเขาจะช่วยขอทุน และเขาเป็นผู้เซนต์อนุมัติด่านแรกของที่นี่ อึ้งกิมกี่ ?? แถมรายนี้มีชื่อเป็นที่ปรึกษาปริญญาโททุกปี แต่ไม่มีเวลาให้ ขอมีเอี่ยวเฉพาะชื่อ นศ.ทนไม่ไหว ไปปรึกษาอาจารย์ท่านอื่นแต่อยู่คนละสาขา ก็เลยช่วยโดยการติดต่ออจ.ที่เคยเป็นลูกศิษย์ที่ม.แม่ฟ้าหลวง ให้ช่วยดูงานวิจัยให้ จนจบ พอตีพิมพ์ ต้องเอาชื่อของผู้บริหารคนที่ไม่ช่วยอะไรนี้ใส่ด้วย และน่าปลื้มมากที่ผู้บริหารคนนี้เอางานตีพิมพ์ของนศ.ที่ตนเองเอี่ยวเฉพาะชื่อไปโชว์ ประกาศว่าเป็นผลงานผม แต่จุดไต้ตำตอเพราะเขาไมรู้ว่าเรื่องนี้ในภาควิชาเขารู้กันหมดเพราะนศ.ป.โทจบแล้วเขาก็เล่าไปทั่ว และตอนนี้เขาก็เริ่มทำกับเหยื่อที่เป็นลูกศิษย์รุ่นต่อไป เผื่อสะสมผลงานขอระดับศาสตราจารย์ต่อ (อยู่เมืองไทยคงได้หรอก เพราะกรรมการประเมินส่วนมากจะดูแต่อักษร หุ หุ) เลยไม่แปลกใจ แต่อนาถใจมากกว่ากับวงการวิจัยไทยที่เห็นเงินเป็นตัวตั้ง จนลืมสำนึก ไม่ละอาย ทำตัวไม่มีศักดิ์ศรี  ไม่มีจรรยาบรรณ ในตำแหน่งวิชาการที่ตนมีอยู่เลย และเป็นแบบนี้มากเสียด้วยในที่แห่งนี้ ประเทศไทยเลยไม่สามารถพัฒนาอะไรๆดังที่หวังได้มากนัก ไม่คุ้มกับงบที่ลงทุนให้กับงานวิจัยมากมาย เพราะตอนนี้นักวิจัยมืออาชีพหายาก มีแต่นักทำงานวิจัยเป็นอาชีพ ปีละ5 งานก็อิ่ม เลี้ยงตัวสบายๆ

 สงสารประเทศไทยที่ให้งบประมาณ เงินแผ่นดิน ภาษีของคนไทยสำหรับงานวิจัยหลายร้อยล้านต่อปี แต่ไม่กลับมาเป็นอะไรที่เป็นชิ้นอัน ที่จะส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือด้านอื่นๆที่จะต่อยอดพัฒนาอาชีพได้คุ้มค่าเลย แล้วเรื่องนี้ใครจะสนใจ เพราะใครๆก็ธุระไม่ไช่ทั้งนั้น และรับรองได้ว่าเรื่องเหล่านี้ยังคงมีต่อไปในวงการศึกษา และมีมากขึ้นๆเสียด้วย 

นั่นคือหัวชื่อเรื่องที่ตั้งไว้ ว่าตอนนี้มีใครที่มีจรรยาบรรณ ...บ้าง ช่วยรักษาไว้ให้ดี  เป็นของหายากแล้ว แม้ว่าจะกินไม่ได้ แต่ไม่ทำให้ยากจนและไม่ตกยากหรอก  อย่างน้อยในวงศ์ตระกูล พ่อแม่ที่เลี้ยงเรามาหากมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ตาม คงดีใจ ภูมิใจหากรู้ว่าไม่มีลูกหลานเป็นนักวิชาการ เป็นครู เป็นอาจารย์ โกงได้กระทั่งเงินแผ่นดิน กินได้กระทั่งเงินวิจัยของลูกศิษย์ตน กรรมแท้ๆ