.......(ต่อ) เดวิดเริ่มถามตัวเองว่าเขาปล่อยตัวเองให้เป็นที่ทิ้งขยะของคนอื่นบ่อยไหม และเขาเอาขยะเหล่านั้นไปทิ้งให้คนอื่นรอบตัวหรือเปล่า เขาจึงเริ่มเผยแพร่กฎข้อนี้ผ่านทางการพูด การเขียนมากต่อมาก (หากสนใจรายละเอียดเกี่ยวกับกฎข้อนี้ ติดตามได้จากเวปไซด์ด้านล่าง)
จะเห็นว่าแค่คำพูดของคนขับรถแท็กซี่คนหนึ่ง หากคุณเปิดโอกาสให้ตัวเองนำมาไตร่ตรองด้วยปัญญา คุณก็สามารถเปลี่ยนข้อคิดนั้นให้เป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จได้อย่างที่เดวิดทำอยู่ ทุกวันนี้เขาเขียนหนังสือ เป็นวิทยากร นักพูดที่มีชื่อเสียง ในการสัมมนาเกี่ยวกับการสร้างความสุขในชีวิต ฯลฯ
รอย โบไมสเตอร์ (Roy Baumeister) นักวิจัยทางจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยฟลอริดา สรุปจากงานวิจัยของเขาว่า คนเราจำสิ่งเลวร้ายที่เกิดกับเราได้ดีกว่าสิ่งที่ดีๆ เรามีความสามารถที่จะบันทึกสิ่งที่ไม่ดีลงไปในหน่วยความจำมากกว่าเรื่องราวที่ดีงาม และประสบการณ์ที่ไม่ดีนั้นจะถูกกระตุ้นให้จำได้ง่ายกว่าและบ่อยกว่า
ดังนั้นตามธรรมชาติหากเราเจอรถขนขยะบ่อยๆและรับเอาขยะนั้นมา ไม่นานเราก็จะจมอยู่ในกองขยะนั้น และกลายเป็นขยะชิ้นหนึ่งในสังคมในที่สุด แต่หากเราเข้าใจกฎข้อนี้และไม่ยอมให้ใครเอาขยะมาทิ้งไว้ที่เรา หรือหากมันเป็นเหตุสุดวิสัยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ เราก็ต้องรีบกำจัดขยะนั้นให้ออกไปจากชีวิตเราให้เร็วที่สุด หากเราควบคุมชีวิตเราได้ดี เราจะสามารถสร้างช่องว่างให้สิ่งดีงามเข้ามาในชีวิตเราได้
ดังนั้นแม้ว่าวันที่ผ่านมาหรือชั่วโมงที่ผ่านมานั้นเขาเหล่านั้นจะได้เจอกับเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์มาก็ตาม ยิ่งกับคนที่สำคัญที่เรารัก เราต้องยิ่งพร้อมที่จะอยู่กับเขาด้วยใจที่ปลอดโปร่งเต็มร้อย
ผู้นำที่ดีต้องพร้อมที่จะเข้าประชุมในการประชุมถัดไป
หมอที่ดีต้องพร้อมที่จะเจอคนไข้รายต่อไป
พนักงานขายที่ดีต้องพร้อมที่จะรับใช้แขกคนถัดไป
พ่อแม่ที่ดีต้องพร้อมที่จะต้อนรับลูกกลับมาจากโรงเรียน
ดังนั้นคนที่ประสบความสำเร็จต้องไม่ปล่อยให้รถขนขยะ นำขยะเข้ามาทำลายความผาสุกในชีวิต ปล่อยให้รถขนขยะเหล่านั้นผ่านเราไปโดยไม่หยุดทิ้งขยะนั้นไว้กับเรา เราจะเป็นสุขมากขึ้น
ขอให้ทุกๆคนที่เข้ามาอ่าน นำไปคิด และใช้ชีวิตที่มีสุขที่สงบนะคะ :)
แปลโดย คุณปริม ทัดบุปผา มิตรจากแดนไกล ผู้รู้จักกันในงานเขียน